วันนี้ (29 กันยายน) ตลาดหุ้นเอเชียโดนกดดันหนักตั้งแต่เปิดการซื้อขายรอบเช้า โดย Nikkei 225 ของญี่ปุ่นร่วงลงมากกว่า 2% ส่วน Shanghai Composite ปรับลดลงลง 1.79% และ Shenzhen Component ร่วงลง 1.412%.
ขณะที่หุ้น China Evergrande ในตลาดหุ้นฮ่องกงพุ่งขึ้น 10.11% หลังจาก Evergrande ประกาศว่าจะขายหุ้นที่ถือใน Shengjing Bank มูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ให้กับบริษัทจัดการสินทรัพย์ของรัฐ
ตลาดหุ้นเอเชียปรับร่วงแรงตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังจากคืนที่ผ่านมาดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดร่วงลงแรงถึง 570 จุด เช่นเดียวกับสินทรัพย์อื่นๆ ที่ราคาปรับลดลงเช่นกัน โดย Bitcoin ร่วงลงจนเกือบหลุดระดับ 40,000 ดอลลาร์อีกรอบ ราคาทองคำร่วงลง 15 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สาเหตุหลักที่ทำให้ทุกสินทรัพย์เผชิญความปั่นป่วนคืออัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ (Bond Yield) ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 4 เดือน
โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 1.567% อันเป็นผลจากการที่ Fed ส่งสัญญาณชัดเจนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าจะเดินหน้าลดปริมาณการซื้อคืนพันธบัตรรายเดือนมูลค่า 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเร็ววันนี้ สร้างความกังวลต่อตลาดหุ้นทั่วโลกที่อาจจะถูกกดดันจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด
ปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตอนนี้นักลงทุนเริ่มขายสินทรัพย์เสี่ยงออกมา จากการเห็นสัญญาณหลายอย่าง เช่น บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นแรงมาก ซึ่งเกิดขึ้นจาก 2 สาเหตุ คือ
- สหรัฐฯ กำลังเข้าสู่การปรับนโยบายการเงิน การลด QE กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ตลาดจึงตอบรับปัจจัยดังกล่าวล่วงหน้า
- ความไม่แน่นอนของนโยบายการคลังสหรัฐฯ เช่น Government Shutdown และการแก้ไขเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ซึ่งล้วนแต่ยังต้องติดตามต่อ
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากถ้อยแถลงของ เจอโรม พาวเวลล์ ซึ่งส่งสัญญาณว่าเงินเฟ้ออาจจะลากยาวกว่าที่คาด อย่างไรก็ตามประเมินว่าปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อจะไม่กดดันให้มีการปรับนโยบายการเงินเร็วกว่าแผน เพราะเงินเฟ้อรอบนี้เกิดจากฝั่งภาคการผลิต ซึ่งในฐานะธนาคารกลางคงจะไม่สามารถช่วยแก้ปัญหาเงินเฟ้อทางตรงได้มากนัก
ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ตลาดสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ร่วงปิดแดนลบ หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี แตะระดับ 1.5% ซึ่งกดดันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ส่งผลให้ดัชนีแนสแด็กปรับลงราว 2.8% ด้านดัชนี S&P 500 ยกเว้นกลุ่มพลังงานปรับลงทุกกลุ่ม นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและสื่อสาร ฝั่งตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ ส่วนตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เปิดมาลบเช่นกัน
อ้างอิง: