ผลการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ในช่วงสองวันที่ผ่านมาเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ในตลาดคาดการณ์ไว้ คือมีการยืนยันจุดยืนที่จะเดินหน้าปรับลดวงเงินในโครงการซื้อคืนพันธบัตรรายเดือนตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ในปีนี้ เพียงแต่ไม่มีการระบุกรอบเวลาดำเนินการที่ชัดเจน
แถลงการณ์ของ Fed ระบุว่า คณะกรรมการ FOMC เห็นชอบตรงกันที่จะปรับลดวงเงินในการซื้อสินทรัพย์ในไม่ช้า หากเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีความคืบหน้าและเป็นไปในทิศทางบวกตามที่ Fed คาดการณ์ไว้ โดยปัจจุบัน Fed ซื้อคืนพันธบัตรรัฐบาลรายเดือนตามแผน QE ที่เดือนละ 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาลวงเงิน 80,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) วงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ขณะที่ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยก็ไม่ได้พลิกโผคาดการณ์ของตลาด ซึ่งทางคณะกรรมการของ Fed มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% ต่อไป กระนั้น ที่ประชุมส่วนใหญ่เล็งเห็นว่า น่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในปี 2022 เร็วกว่าการคาดการณ์เดิมในการประชุม Fed เดือนมิถุนายนก่อนหน้าที่คณะกรรมการ Fed คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2023
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ กล่าวว่า กำหนดเวลาและอัตราการปรับลด QE ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณโดยตรงถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแต่อย่างใด และ Fed จะต้องมีการทดสอบที่เข้มงวดมากขึ้นก่อนตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยตัวเลขเงินเฟ้อและการจ้างงานในตลาดยังเป็นสองปัจจัยหลักที่ Fed นำมาพิจารณาเพื่อเปลี่ยนแปลงนโยบายใดๆ
ในส่วนของการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้ Fed ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตลดเหลือ 5.9% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 7.0% แต่ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวในปี 2022 ที่ 3.8%, ปี 2023 ที่ 2.5% และ ปี 2024 ที่ 2.0% ตามลำดับ และคงตัวเลขคาดการณ์อัตราการขยายตัวในระยะยาวที่ระดับ 1.8%
ขณะเดียวกัน Fed ยังได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปี 2021 มาอยู่ที่ 4.2% และปี 2022 ที่ 2.2% ตามลำดับ และคงตัวเลขคาดการณ์ในปี 2023 ที่ 2.2% ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปี 2024 จะอยู่ที่ระดับ 2.1% และคงอัตราเงินเฟ้อในระยะยาวไว้ที่ 2.0%
ด้านอัตราว่างงานในปีนี้ Fed ได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์อัตราว่างงานขึ้นมาอยู่ที่ 4.8% และคงตัวเลขคาดการณ์ในปี 2022 ที่ 3.8% และปี 2023 ที่ 3.5% ตามลำดับ ส่วนอัตราว่างงานในปี 2024 จะอยู่ที่ระดับ 3.5% ขณะที่ตัวเลขคาดการณ์อัตราว่างงานในระยะยาวยังคงไว้ที่ระดับเดิมที่ 4.0%
นอกจากนี้ เจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ยังใช้โอกาสนี้ให้คำมั่นที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบการซื้อขายหุ้นของเจ้าหน้าที่และพนักงานของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อแก้ไขปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน และฟื้นความเชื่อมั่นไว้วางใจของสาธารณะที่มีต่อ Fed โดยพาวเวลล์ยอมรับว่า ระเบียบการเทรดของ Fed ในปัจจุบันไม่ครอบคลุมรัดกุมพอ
โดยประธาน Fed ระบุชัดเจนว่า กฎระเบียบของ Fed ไม่เพียงพอที่จะทำให้สาธารณะชนไว้วางใจใน Fed ได้อีกต่อไป Fed จึงจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง และ Fed เข้าใจเป็นอย่างดีว่าความเชื่อมั่นไว้วางใจของชาวอเมริกันที่มีต่อ Fed เป็นสิ่งที่มีความสำคัญ จำเป็นที่จะช่วยให้การทำงานตามพันธกิจหน้าที่ของธนาคารกลางสหรัฐฯ สามารถดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Fed จะเริ่มรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อหาแนวทางยกระดับกฎระเบียบและมาตรฐานของ Fed ให้เข้มงวดมากยิ่งขึ้น ซึ่งหมายรวมถึงระเบียบทั่วไปในการห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของ Fed ทุกระดับ ถือครองหรือครอบครองสินทรัพย์ที่ธนาคารกลางซื้อขายอยู่ ทั้งในโครงการซื้อสินทรัพย์ปกติทั่วไป และโครงการตามมาตรการฉุกเฉินเพื่อเสริมสภาพคล่องต่างๆ
มติของธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ กลายเป็นแรงหนุนส่งให้ 3 ดัชนีหลักในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทฟื้นตัวกลับมาปิดตลาดในแดนบวกเป็นครั้งแรกหลังจากที่ปรับตัวลดลง 4 วันติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนได้รับคำยืนยันจาก Fed ที่ระบุว่า จะยังคงเดินหน้าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น ตลาดยังได้แรงหนุนจากกรณีวิกฤตหนี้ Evergrande บริษัทอสังหาริมทรัพย์จีนเริ่มคลี่คลาย เมื่อบริษัท เหิงต้า เรียล เอสเตท กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ Evergrande แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นว่า บริษัทสามารถบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ในการเจรจาเกี่ยวกับแผนการชำระดอกเบี้ยวงเงิน 232 ล้านหยวน หรือราว 35.88 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือนกันยายน ปี 2025 ได้แล้ว
ทั้งนี้ ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 338.48 จุดหรือราว 1% มาอยู่ที่ 34,258.32 ส่วนดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้นเกือบ 1% มาอยู่ที่ 4,395.64 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้นราว 1% มาอยู่ที่ 14,896.85 จุด
ขณะเดียวกัน หุ้นของบริษัทในกลุ่มพลังงานมีการซื้อขายมากที่สุด โดย Devon Energy เพิ่มขึ้น 6.8% ขณะที่ APA บริษัทโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานพุ่งขึ้นเกือบ 7.2% ส่วน Diamondback Energy, Hess และ Marathon Oil ล้วนปิดตลาดปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 5%
ประเมินจากปฏิกิริยาตอบสนองของตลาด นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ รวมถึง Seema Shan หัวหน้านักกลยุทธ์จาก Principal Global Investors เห็นว่า นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่เริ่มมีความพร้อมที่จะรับมือกับต้นทุนและมูลค่าการลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้นในกรณีที่ Fed จะลดปริมาณ QE โดยสิ่งที่นักลงทุนให้น้ำหนักในเวลานี้ก็คือกรอบเวลาของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ มากกว่า ซึ่งผลโหวตของคณะกรรมการกำกับนโยบายการเงิน (FOMC) ของ Fed พบว่าสมาชิก 9 คนจากทั้งหมด 18 คนคาดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในปี 2022 เพิ่มขึ้นจากการประชุม Fed ในเดือนมิถุนายนที่มีสมาชิกเพียง 7 คนเท่านั้น ที่คิดว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ในปีหน้า
อ้างอิง:
- https://edition.cnn.com/2021/09/22/economy/federal-reserve-powell-policy-update/index.html
- https://english.kyodonews.net/news/2021/09/258761fc1442-update1-fed-says-bond-buying-taper-may-come-soon-hints-rate-hike-next-year.html
- https://www.cnbc.com/2021/09/22/fed-chief-jerome-powell-.html
- https://www.cnbc.com/2021/09/21/stock-market-futures-open-to-close-news.html
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP