วันนี้ (20 กรกฎาคม) พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้โพสต์เฟซบุ๊ก โดยระบุว่า
เรียน พี่น้องประชาชนทุกท่าน
นับจนถึงวันนี้เป็นเวลามากกว่า 1 ปีแล้วที่ประเทศของเราและทั่วโลกต่างต้องสู้กับโควิด ในวันที่ 25 มีนาคมของปีที่แล้ว ตนได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และบังคับใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวด เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
“โดยวันนั้นผมได้กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของภาวะวิกฤต ที่หากไม่ประกาศมาตรการเข้มงวด สถานการณ์จะเลวร้ายลง ซึ่งในครั้งนั้นเราสามารถเอาชนะโควิดในยกแรกได้ด้วยความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์และความร่วมแรงร่วมใจของประชาชนทุกคน ในการทำตามมาตรการของรัฐ จนเรากดยอดผู้ติดเชื้อลงมาจนเหลือศูนย์ได้ในที่สุด และเป็นที่ชื่นชมของทั่วโลกในการควบคุมการแพร่ระบาด จนเราสามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่กันได้หลังจากนั้น”
แต่เป็นโชคร้ายของชาวโลกที่โควิดยังไม่หายไปง่ายๆ และกลับกลายพันธุ์ไปสู่สายพันธุ์ที่ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ทั่วโลกจึงถูกคุกคามจากโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้อีกครั้ง แม้แต่ประเทศที่มีการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมากและอีกหลายประเทศที่เคยควบคุมสถานการณ์ได้ดี ก็ยังเกิดการระบาดอย่างหนักจนต้องกลับมาประกาศมาตรการล็อกดาวน์อีกครั้ง ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย
ในวันนี้เราต้องยอมรับว่าสถานการณ์ได้เดินทางมาถึงจุดที่เป็น ‘หัวเลี้ยวหัวต่อ’ ของภาวะวิกฤตอีกครั้ง เราต้องเจอกับการแพร่ระบาดครั้งร้ายแรงที่สุดที่ประเทศไทยเคยเจอมา หลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้ประกาศการล็อกดาวน์ 10 จังหวัด โดยปิดสถานที่และกิจการบางแห่ง ประกาศเคอร์ฟิว และจำกัดการเดินทาง
แต่คณะแพทย์ที่ปรึกษาได้ประเมินแล้วว่าสถานการณ์ยังคงไม่ดีขึ้น ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังไม่ลดลง กระทรวงสาธารณสุขพบว่า ผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อจากคนในครอบครัวหรือคนรู้จักที่นำเชื้อมาแพร่ในบ้าน
“นอกจากนี้ยังมีประชาชนส่วนหนึ่งที่กระทำตัวเป็นภาระของส่วนรวม กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและเพิ่มความเสี่ยงให้กับทุกคน ด้วยการรวมตัวกันเล่นการพนัน จับกลุ่มดื่มสุราหรือจัดปาร์ตี้ และจัดกิจกรรมเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด ทำให้การแพร่ระบาดยังไม่ลดลง และมีแนวโน้มการเจ็บป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น” พล.อ. ประยุทธ์ ระบุ
ดังนั้นเราจึงรอช้าไม่ได้ที่จะต้องยกระดับมาตรการควบคุมโรค เพื่อลดความสูญเสียให้ได้โดยเร็วที่สุด จากข้อเสนอเร่งด่วนของคณะแพทย์ที่ปรึกษาและหน่วยงานต่างๆ ของกระทรวงสาธารณสุข ทำให้ ศบค. มีมติประกาศล็อกดาวน์ จำกัดการเดินทางในจังหวัดสีแดงเข้มที่เพิ่มขึ้นเป็น 13 จังหวัด และปิดกิจการต่างๆ อย่างน้อย 14 วัน ไม่เช่นนั้นสถานการณ์อาจจะร้ายแรงขึ้นจนยากต่อการควบคุม
“ผมต้องขอให้พวกเราทุกคนอดทนกันอีกครั้ง และให้ความร่วมมือกับมาตรการในครั้งนี้อย่างเต็มที่ โดยผมทราบดีว่าจะต้องมีพี่น้องจำนวนมากที่ไม่สามารถทำมาหากินได้ และได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้ผมทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง และได้พยายามหาหนทางในการช่วยทุกท่านมาโดยตลอด ด้วยมาตรการเยียวยาต่างๆ ทั้งการชดเชยการหยุดงาน การจ่ายเงินพิเศษเพิ่ม การลดค่าน้ำค่าไฟ การพักชำระหนี้ การลดค่าเทอม และนโยบายอื่นๆ ที่จะออกมารองรับมาตรการนี้ให้ครอบคลุมและทั่วถึง และจะทบทวนนโยบายต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดยิ่งขึ้น ซึ่งในวันนี้คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการเยียวยาเพิ่มเติมอีก 3 จังหวัดสีแดงเข้มแล้ว”
ในส่วนของการดูแลผู้ป่วย ได้รับฟังข้อคิดเห็น ข้อร้องเรียน และคำถามจากประชาชนและสื่อมวลชนอยู่ตลอดเวลา และได้สั่งการให้แก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งปัญหาตอนนี้นั้นมีมากมายที่ต้องแก้ไข ทั้งการเข้าถึงการตรวจคัดกรองและการหาซื้อ Antigen Test Kit ได้ในราคาถูก การเพิ่มเตียงโดยเฉพาะในกลุ่มสีแดง การจัดหาอุปกรณ์การรักษา และการเพิ่มบุคลากร การสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ การแก้ปัญหา Call Center การจัดการและดูแลผู้ป่วยที่กักตัวแบบ Home Isolation และ Community Isolation
โดยวันนี้ได้รับข่าวดีจากกระทรวงยุติธรรมว่าผลการใช้สมุนไพรไทยคือฟ้าทะลายโจรและกระชายขาวในการรักษาผู้ป่วยโควิดในเรือนจำนั้นได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้ป่วยที่รักษาด้วยฟ้าทะลายโจรหรือกระชายขาวนั้นหายป่วยทุกคน ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และจะเป็นอีกหนึ่งในตัวช่วยแก้สถานการณ์ด้วยภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทย นอกจากจะช่วยคนไทยที่กักตัวที่บ้านรักษาโควิดได้แล้ว และยังเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับทั้งเกษตรกรและประเทศชาติในการส่งออกไปต่างประเทศได้อีกด้วย
และเรื่องที่สำคัญที่รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจในการดำเนินการก็คือการจัดหาวัคซีนให้ประชาชนชาวไทยให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด เป็นข่าวดีที่ในวันนี้ (20 กรกฎาคม) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามทำสัญญากับบริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย) และบริษัท ไบออนเทค ในการจัดซื้อวัคซีนชนิด mRNA จำนวน 20 ล้านโดส ซึ่งจะสามารถนำส่งได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้
และไทยยังมีเป้าหมายที่จะสั่งซื้อเพิ่มอีกอย่างน้อย 50 ล้านโดสในปีหน้า ซึ่งวัคซีนของ Pfizer-BioNTech เข้ามาเสริมแผนกระจายวัคซีนของประเทศไทยร่วมกับวัคซีนหลักของบริษัท AstraZeneca ที่ไทยได้สั่งซื้อไปแล้วจำนวน 61 ล้านโดส และวัคซีนจากบริษัทอื่นๆ ที่จะทยอยส่งมอบให้ในปลายปีนี้และต้นปีหน้า รวมถึงวัคซีนที่จะผลิตโดยหน่วยงานของไทยอีกอย่างน้อย 3 ชนิด และวัคซีนชนิดใหม่ๆ เช่น Protein Subunit ที่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเจรจาอยู่กับหลายบริษัท และจะสั่งซื้อในทันทีที่เจรจาได้สำเร็จ
นอกจากการสั่งซื้อวัคซีนโดยตรงแล้ว รัฐบาลยังมีการเจรจากับหลายประเทศอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ได้วัคซีนมาเพิ่มเติมผ่านข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยเราได้รับวัคซีน Sinovac มาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว 1 ล้านโดส วัคซีน AstraZeneca 1.05 ล้านโดสจากประเทศญี่ปุ่น กำลังจะได้วัคซีน Pfizer 1.5 ล้านโดสจากสหรัฐอเมริกา และยังมีประเทศอื่นๆ เช่น สหราชอาณาจักรและสวิตเซอร์แลนด์ที่อยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงเพื่อขอความช่วยเหลือทางวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทำให้เชื่อได้ว่าไทยจะยังคงสามารถเดินหน้าฉีดวัคซีนได้ตามแผนที่กำหนดไว้ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร ทุกหน่วยงานของรัฐจะไม่ท้อถอย เราจะปรับแผนและใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
สงครามของโลกกับโควิดยังไม่จบสิ้น การต่อสู้ของไทยในระลอกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้ง 13 จังหวัด ถือเป็นสมรภูมิรบที่เราจะต้องเอาชนะ และยึดพื้นที่คืนกลับมาจากไวรัสร้ายนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีประชาชนต้องเจ็บป่วยล้มตายไปมากกว่านี้ แต่การศึกครั้งนี้รัฐไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยเพียงลำพัง แต่ต้องเกิดจากความสามัคคีกันของคนในชาติ โดยเฉพาะในสมรภูมิทั้ง 13 จังหวัดนี้ ที่จะดำเนินตามมาตรการที่ออกมาอย่างเข้มงวดที่สุด งด ลด เลี่ยงการเดินทาง และการรวมตัวทำกิจกรรม ไม่ทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเสี่ยงอันตราย
“ในขณะเดียวกันก็ต้องมีสติในการรับและส่งต่อข้อมูลข่าวสาร และช่วยกันสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ด้วยพลังบวกและน้ำใจไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถผ่านวิกฤตในรอบแรกมาได้ และผมและคณะแพทย์เชื่อว่าหากเราล็อกดาวน์ตัวเองได้จริงๆ สถานการณ์ควรจะต้องเห็นผลดีขึ้นภายใน 14 วัน และเราจะผ่านพ้นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ไปได้อีกครั้ง”
แต่การกำหนดมาตรการใดๆ ก็ตามจะไม่มีความหมายเลย หากไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปตามนั้นได้ ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในทั้ง 13 จังหวัดได้ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งและเข้มงวด ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 13 จังหวัดได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเต็มที่กับผู้กระทำผิด นอกจากนั้นใน 14 วันนี้ขอให้ผู้บริหารหน่วยงานรัฐทุกแห่งในทั้ง 13 จังหวัดบริหารจัดการให้ทำงานจากบ้าน (Work from Home) ให้ได้ 100% ยกเว้นกรณีที่จำเป็นจริงๆ
“ผมขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่จะต้องอดทนเสียสละกันอีกครั้งในช่วงเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้ง อสม. ทั่วประเทศ ผมขอสัญญาว่าจะดูแลพวกท่านอย่างดีที่สุดเท่าที่ผมจะทำได้ ผม รัฐบาล และหน่วยงานรัฐทุกแห่ง จะยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเต็มที่ต่อไป ขอเก็บทุกคำวิจารณ์มาเพื่อรับฟังและหาหนทางที่จะดูแลพี่น้องประชาชนทุกท่านอย่างดีที่สุด และจะร่วมเดินเคียงข้างกันไปในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ จนถึงวันที่เราจะผ่านพ้นไปได้ด้วยกันครับ” พล.อ. ประยุทธ์ ระบุทิ้งท้าย