กระทรวงสาธารณสุขสิงคโปร์ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (20 กรกฎาคม) ประกาศเตรียมยกระดับความเข้มงวดของมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด หลังจากที่ยังพบกรณีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยก่อนหน้านี้ทางการสิงคโปร์รายงานว่าพบคลัสเตอร์แพร่ระบาดแบบกลุ่มก้อนใหม่เกิดขึ้นหลายแห่ง ทั้งในคาราโอเกะเลานจ์ ตลาดค้าส่งอาหารทะเล และศูนย์อาหารแบบ Hawker ซึ่งส่งผลให้พบผู้ติดเชื้อในประเทศช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เกือบ 500 คน สูงกว่าสัปดาห์ก่อนหน้าที่พบเพียง 19 คน
“เรื่องนี้น่าเป็นกังวลอย่างมาก เนื่องจากมันสามารถส่งผลกระทบกับผู้คนมากมายในชุมชนของเราทั่วทั้งเกาะ” แถลงการณ์ระบุ และคาดว่าจำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นอีก เนื่องจากทางการยังคงเดินหน้าตรวจเชื้อประชาชนในกลุ่มเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง
การยกระดับมาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม – 18 สิงหาคม โดยถือเป็นการกลับไปใช้มาตรการในเฟสที่ 2 หรือภาวะเฝ้าระวังการแพร่ระบาดในระดับสูง (Heightened Alert) ซึ่งได้แก่
- ห้ามไม่ให้รับประทานอาหารภายในร้าน แต่อนุญาตให้ซื้อกลับบ้านได้
- จำกัดการรวมกลุ่มของประชาชน จากเดิมที่อนุญาตไม่เกิน 5 คน เหลือเพียง 2 คน
- แต่ละครัวเรือนต้อนรับแขกที่ไปเยี่ยมได้ไม่เกิน 2 คน ไม่นับกรณีบุตรหลานไปดูแลญาติผู้สูงอายุ
- ระงับกิจกรรมกีฬาในร่มและการออกกำลังกายต่างๆ ที่ต้องถอดหน้ากากอนามัย
- จำกัดจำนวนผู้เข้าร่วมงานอีเวนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งรวมถึงการจัดแสดงสดและงานแต่งงาน และต้องมีการตรวจเชื้อก่อนเข้างาน
- สนับสนุนการทำงานจากที่บ้าน ซึ่งยังคงเป็นตัวเลือกหลักของบริษัทส่วนใหญ่
ขณะที่รัฐบาลจะมีการทบทวนมาตรการอีกครั้งใน 2 สัปดาห์ และอาจมีการปรับเปลี่ยนโดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในขณะนั้น
ทางด้านคณะทำงานด้านโควิดของสิงคโปร์ที่ประกอบด้วยรัฐมนตรีหลายกระทรวง ตัดสินใจที่จะไม่แยกมาตรการป้องกันระหว่างผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้วและผู้ยังไม่ฉีดวัคซีน แต่อาจพิจารณาเปลี่ยนแปลงในภายหลัง เมื่ออัตราการฉีดวัคซีนในประเทศนั้นสูงขึ้น และสถานการณ์ระบาดอยู่ในระดับที่ควบคุมได้
“เรารู้ว่าข่าวนี้สร้างความผิดหวังและน่าหงุดหงิดอย่างยิ่งสำหรับหลายๆ คน โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจในภาคส่วนต่างๆ เช่น ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ภาคส่วนเหล่านี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากมาตรการจำกัดก่อนหน้านี้ พวกเขาทำงานอย่างหนักเพื่อปรับตัวให้เข้ากับกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไป” กันคิมยง รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์กล่าว
ภาพ: Photo by Suhaimi Abdullah/Getty Images
อ้างอิง: