ตั้งแต่บริษัท The Walt Disney Company ประกาศว่าได้ตัดสินใจจะเข้าสมรภูมิสู้รบของวงการสตรีมมิงด้วยแพลตฟอร์ม Disney+ ของตัวเอง หลายคนก็ตื่นเต้นและเฝ้ารอชมว่าทาง Disney จะใช้กลยุทธ์ไม้เด็ดอะไรเพื่อจะมา Disrupt ตลาดนี้ได้ ซึ่งก็มีคู่แข่งสำคัญอีกหลายเจ้าที่สามารถครองตลาดมานานและเดินหน้าไปไกลจนจะวิ่งตามไม่ทัน แต่ตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ Disney+ ได้เริ่มให้บริการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2019 เราก็ได้เห็นแพลตฟอร์มนี้สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด พร้อมวางหมากที่แสดงทั้งศักภาพของ Disney ในการเป็นหนึ่งในผู้นำวงการบันเทิงมานานหลายทศวรรษ และสะท้อนให้เห็นว่าอนาคตยังไปได้อีกไกลอย่างแน่นอน
ตอนที่ Disney+ เปิดตัววันแรกเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2019 ที่สหรัฐอเมริกา ทางแพลตฟอร์มก็สามารถมียอดสมาชิกแบบจ่ายรายเดือนสูงถึง 10 ล้านยูสเซอร์ภายในวันแรก และมาในวันนี้ก็มีสมาชิกแล้วกว่า 103 ล้านยูสเซอร์ทั่วโลก แถมบริษัทวิจัยที่คอยเก็บข้อมูลเชิงธุรกิจของอุตสาหกรรมทีวีอย่าง Digital TV Research ก็ได้คาดการณ์ว่า ภายในปี 2026 ทาง Disney+ จะมี 294 ล้านยูสเซอร์ และจะกลายเป็นแพลตฟอร์มสตรีมมิงเบอร์หนึ่งของโลก
ความโดดเด่นของ Disney+ ตั้งแต่แรกคือการเป็นสตรีมมิงแพลตฟอร์มที่รวบรวมคลังคอนเทนต์ของภาพยนตร์ ซีรีส์ สารคดี และรายการต่างๆ ของ Disney ทั้งหมดและบริษัทในเครือข่าย อาทิ Marvel Studios, Pixar, Lucasfilm (Star Wars), National Geographic, Searchlight Pictures และ 21st Century Fox โดยตอนนี้ Disney+ ก็มีภาพยนตร์ทั้งหมด 700 เรื่อง และซีรีส์แบบเอ็กซ์คลูซีฟอีก 14,000 ตอน ซึ่งก่อนหน้านี้หนึ่งในช่องทางหารายได้สำคัญของ Disney ก็คือจากการขายลิขสิทธิ์ให้แพลตฟอร์มสตรีมมิงอื่นๆ นำคอนเทนต์ไปฉาย แต่มาวันนี้ทุกเรื่องก็มีแค่บน Disney+ เท่านั้น ซึ่งแต่ละเรื่องก็มีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่นสุดๆ และสามารถนำไปต่อยอดได้อีกหลายทางเพื่อช่วยเพิ่มสมาชิก
ตัวอย่างสำคัญที่เราได้เห็น Disney+ นำไปต่อยอดอย่างเฉลียวฉลาดก็คือจักรวาลซูเปอร์ฮีโร่ Marvel ซึ่งมีฐานคนตามเป็นพันๆ ล้านทั่วโลก โดยคอนเทนต์ของ Marvel จะถูกแบ่งแยกออกเป็นหลายเฟสที่เรื่องราวของตัวละครก็มีการเชื่อมโยงกันไปมาหมด ซึ่งคอนเทนต์ในเฟส 1-3 ก็ออกมาในรูปภาพยนตร์ฉายในโรงเท่านั้นเพราะยังไม่มี Disney+ แต่พอมากับเฟส 4 ณ ปัจจุบันที่มี Disney+ แล้ว และด้วยสถานการณ์โควิด-19 เราก็เริ่มเห็นบรรดาคอนเทนต์ของ Marvel ถูกสลับปรับเปลี่ยนในรูปแบบการฉาย อย่างเช่น Black Widow ที่นำแสดงโดย สการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน ก็จะฉายในโรงภาพยนตร์ พร้อมกับทาง Disney+ ในแบบ Premier Access ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมเหมือนกับภาพยนตร์ Mulan และ Cruella แถมมากไปกว่านั้นทาง Disney+ ก็ฉลาดที่ได้ดึงตัวละครต่างๆ ของ Marvel มาซอยทำเป็นมินิซีรีส์ย่อยๆ หลายเรื่องอย่างเช่น Loki, WandaVision, The Falcon and the Winter Soldier และในอนาคตก็จะมีอย่าง Ms. Marvel ซึ่งทั้งหมดแฟนๆ Marvel ก็ต้องอยากสมัคร Disney+ เพราะต้องการตามเนื้อเรื่องให้ทันและถ้าฝืนจะรอดูแต่หนังใหญ่ในโรงก็อาจไม่เข้าใจเนื้อเรื่องแล้ว
คอนเทนต์การ์ตูนแอนิเมชันสุดคลาสสิกของ Disney ที่มีฉายทาง Disney+ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าทำไมแพลตฟอร์มนี้ได้เปรียบสุดๆ ซึ่งหนึ่งในตัวอย่างก็คือการ์ตูนเรื่อง Frozen ที่ในปี 2019 ทาง Disney+ ก็เปิดตัว 10 วันก่อนที่ภาค 2 ของการ์ตูนอย่าง Frozen 2 จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ซึ่งในตอนนั้นหากลูกๆ หลานๆ ร้องขออยากจะกลับไปดูภาคแรกอีกครั้ง คุณก็ต้องสมัคร Disney+ เท่านั้น มากไปกว่านั้นในอนาคตเราก็เชื่อ 1,000% ว่าทาง Disney+ ก็สามารถฉวยโอกาสของการมีฐานแฟนคลับของการ์ตูนอย่าง Frozen แล้ว และนำไปต่อยอดทำมินิซีรีส์ Spin-Off ของตัวละครรองในเรื่อง นำการแสดงของเวอร์ชันมิวสิคัลบรอดเวย์มาให้ชมกัน และในอนาคตยังสามารถทำเวอร์ชันรีเมกในรูปแบบ Live-Action กับคนแสดงจริงที่เราก็ได้เห็น Disney ทำอยู่กับหลายเรื่อง อาทิ Peter Pan, The Little Mermaid, The Jungle Book และ Snow White ซึ่งเราจะไม่แปลกใจหาก Disney จะตัดสินใจให้บางเรื่องฉายทาง Disney+ เท่านั้น เพราะมาวันนี้ลำดับความสำคัญของ Disney+ ก็ได้กลายเป็นที่ 1 ของบริษัท Disney ไปแล้วมากกว่าตัวสวนสนุก Disneyland ด้วยซ้ำ ที่โดนผลกระทบไปมากมายเพราะวิกฤตโควิด-19 และทำให้สูญเสียรายได้เป็นหลายพันล้าน
แต่พูดถึง Disneyland แล้ว นี่ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ Disney+ มีข้อเปรียบอย่างมากและสามารถนำไปต่อยอดเช่นกัน โดยในช่วงแรกที่แพลตฟอร์มกำลังจะเปิดตัวก็มีการสร้างกระแสด้วยการโปรโมตที่ Disneyland ทุกแห่ง ซึ่งมาในรูปแบบของทั้งการติดสติกเกอร์รอบขบวนรถไฟและตัวรถบัสที่รับส่งไปสวนสนุก หรือก็มีพวก QR Code ต่างๆ ในกิฟต์ช็อป Disney Store เพื่อให้คนได้สแกนรับข่าวสาร แถมหลังจากซีรีส์เรื่อง The Mandalorian จากจักรวาล Star Wars ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายบน Disney+ ก็มีการขายสินค้า Merchandise ที่ Disneyland ด้วย ซึ่งใครจะไปรู้ในอนาคต ทาง Disney อาจฉลาดสร้างเครื่องเล่นหรือโซนพิเศษที่ Disneyland ที่เกี่ยวข้องกับตัวละครจากซีรีส์ของ Disney+ อย่าง The Mandalorian ที่ก็จะเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้คนอยากสมัครสมาชิกของแพลตฟอร์ม
เห็นได้ว่าภายในแค่ระยะเวลาไม่ถึง 2 ปี ทาง Disney+ ก็ได้มีการวางกลยุทธ์หลายอย่างที่จะช่วยเสริมสร้างให้รากฐานของแพลตฟอร์มสตรีมมิงของตัวเองแข็งแรง โดยความท้าทายต่อไปของ Disney+ ที่เราต้องจับตาดูให้ดีคือพวกเขาจะทำอย่างไรให้แพลตฟอร์มไม่ได้ดูเหมือนว่าหากินจากแค่คอนเทนต์ Star Wars, Marvel, Disney Princess และ Pixar อย่างเดียว แต่มีคอนเทนต์ที่หลากหลายเพื่อเข้าถึงทุกเพศ ทุกวัย สังคม และวัฒนธรรมอย่างแท้จริง โดยสิ่งที่เราเริ่มได้เห็นแล้วก็คือการจับเซ็นสัญญากับศิลปินระดับโลกอย่าง เทย์เลอร์ สวิฟต์ และ บียอนเซ่ ทำรายการพิเศษ หรือที่จะเป็นการยกระดับอีกขั้นก็คือการทำ Original Series ในตลาดต่างประเทศอย่างเช่นเกาหลีใต้เป็นต้น ซึ่งหาก Disney+ สามารถ Diversify ตัวเองได้จริงๆ และไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นแพลตฟอร์มสำหรับหนูน้อยที่คลั่งไคล้ Mickey Mouse และ Iron Man อย่างเดียว เราก็เชื่อว่าการทำนายว่าแพลตฟอร์มนี้จะเป็นที่หนึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ก็เกิดขึ้นได้แน่นอน
ภาพ: AaronP / Bauer-Griffin / GC Images
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: