วันนี้ (28 มิถุนายน) ชมรมแพทย์ชนบทแสดงความคิดเห็นผ่านทางเฟซบุ๊ก ระบุถึง ‘ซีรีส์ ลับลวงพราง วัคซีนโควิด ตอน 16 : 28-06-64’ ข้อเสนอชมรมแพทย์ชนบทฉบับที่ 2 เรื่อง วัคซีนต้องมีให้ฉีดเดือนละ 15 ล้านโดส ประเทศไทยจึงจะรอด โดยมีรายละเอียดดังนี้
Vaccination และ Victory ที่นายกฯ ประยุทธ์ชูสองนิ้วนั้นเป็นตลกร้ายที่ห่างไกลความจริง ความสามารถในการฉีดวัคซีนของบุคลากรทางการแพทย์ทั้งรัฐและเอกชนรวมๆ แล้วไม่น้อยกว่า 5 แสนโดสต่อวัน เราทุกคนพร้อมลุยงานหนักสลับมาฉีดวัคซีนให้ได้ทุกวันไม่มีวันหยุด เพื่อให้ถึงเป้าที่ 15 ล้านโดสต่อเดือน โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมนี้ แต่ปัญหาคือมีวัคซีนให้ฉีดน้อยเหลือเกิน
ตามแผนเดิมรัฐบาลตั้งการเป้าการจัดหาวัคซีนไว้ชัดเจนว่า มิถุนายนวัคซีนยังมีน้อย แต่ตั้งแต่กรกฎาคมเป็นต้นไป รัฐบาลจะได้ AstraZeneca เดือนละ 10 ล้านโดส และ Sinovac 3-5 ล้านโดส รวมเป็น 13-15 ล้านโดส ซึ่งดูเป้าแล้วจะอุ่นใจสักนิด
แต่มาวันนี้ AstraZeneca จากสยามไบโอไซเอนซ์ มีกำลังการผลิตที่น่าจะคงที่แล้วคือ เดือนละ 15 ล้านโดส (ลดลง 25% จากเดิมที่บอกไว้ที่ 20 ล้านโดสต่อเดือน) จำนวนเดือนละ 15 ล้านโดสที่ผลิตได้นี้จะส่งมอบให้รัฐบาลไทยเพียงเดือนละ 4 ล้านโดส ส่วนที่เหลือจะต้องส่งออกตามสัญญา ความฝันที่เดือนละ 10 ล้านโดสจึงหดหาย ได้มาเพียง 40% เท่านั้น เล่นเอายอดจัดสรรวัคซีนเดือนกรกฎาคมที่จะถึงในไม่กี่วันนี้ไม่ลงตัว จนบัดนี้ก็ยังไม่มีการแจ้งยอดจัดสรรมาที่จังหวัด
ส่วน Sinovac นั้นดูชิลๆ ขอให้รัฐบาลไทยจ่ายเงิน ประเทศจีนเขาพร้อมส่ง ดังข่าวการสั่งซื้อ Sinovac อีก 28 ล้านโดส ดังนั้นการสั่งเพิ่ม Sinovac มากกว่า 5 ล้านโดสต่อเดือนจึงเป็นไปได้แน่ แต่ที่แย่คือประสิทธิภาพของ Sinovac ที่ต่ำกว่าวัคซีนอื่นใด
สำหรับวัคซีน Pfizer, Moderna, Johnson & Johnson นั้น หากไม่นับล็อตเล็กที่มหามิตรอเมริกาอภินันทนาการทางการตลาดให้ ก็ต้องรอไปก่อนถึงตุลาคม 2564 ซึ่งตอนนั้นไทยคงระบาดจนย่ำแย่ไปแล้ว
ชมรมแพทย์ชนบทได้คุยกันอย่างหนัก เราเห็นบุคลากรทางการแพทย์ ท้องถิ่น ท้องที่ และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ต่างก็สู้ยิบตาควบคุมโรคในพื้นที่จนอ่อนล้า งานรักษาพยาบาลบนหอผู้ป่วยและ ICU ก็เหนื่อยแสนสาหัส ทางรอดของประเทศก็ยังอยู่ที่ ‘วัคซีน’ ไม่ใช่การล็อกดาวน์ เราจะล็อกดาวน์ตัวเองไปได้กี่สัปดาห์ เศรษฐกิจก็จะล่มแล้ว ผู้คนจะอดตายกันอยู่แล้วนะ หากไม่เร่งระดมฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด อย่าว่าแต่ 120 วันจะเปิดประเทศเลย ข้ามปี 2565 ก็เปิดประเทศไม่ได้
วัคซีนก็เสมือนเสื้อเกราะ ใครๆ ก็อยากได้เสื้อเกราะหนาๆ อย่างดี เช่น Pfizer, Moderna แต่กว่าจะได้มาก็ตุลาคม เราเคยนึกว่าเราจะมีเสื้อเกราะเกรดปานกลางคือ AstraZeneca อย่างเพียงพอแต่ก็ไม่จริงเสียแล้ว แต่ที่แน่ๆ เราสามารถซื้อเสื้อเกราะเกรดบางอย่าง Sinovac, Sinopharm ได้ไม่อั้น ขอให้มีเงินจ่ายก็พอ
เกราะบางนี้ก็พอไหว ป้องกันการติดเชื้อได้แม้ไม่ดีเท่า แต่ก็ลดการป่วยหนักและลดการตายลงได้ ที่แย่ก็คือ Sinovac อย่างบางนี้ราคาแพงหูฉี่ แพงพอๆ กับเสื้อเกราะอย่างหนานี่สิ แต่ดูเหมือนเราแทบจะไม่มีทางเลือก จะยอมใส่เกราะบางๆ หรือจะสู้โควิดแบบไม่มีเสื้อเกราะให่ใส่
ประเทศไทยได้มาถึงจุดวิกฤต เราจะยอมรับการมีวัคซีนฉีดเพียงไม่ถึง 10 ล้านโดสต่อเดือนไม่ได้อีกแล้ว ทั้งๆ ที่เราฉีดได้มากกว่า 15 ล้านโดสต่อเดือน รัฐบาลต้องเร่งรัดจัดหาวัคซีนในทุกช่องทางมาให้เร็วและมากที่สุด ให้ได้เดือนละ 15 ล้านโดส และต้องพยายามในทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เสื้อเกราะอย่างหนา เช่น Pfizer, Moderna มาให้บุคลากรทางการแพทย์และประชาชนโดยเร็วและมากที่สุดเช่นกัน
นี่คือเป้าหมาย คือความอยู่รอดของประเทศ และคือตัววัดความสามารถและประสิทธิภาพของรัฐบาล จะสอบตกถูกไล่ออกก็อยู่ที่ข้อสอบข้อนี้ แต่ถ้าสอบตกคนไทยทั้งประเทศก็พลอยตกเหวไปด้วย
บัดนี้เราคงต้องทำใจว่า “มันสายเกินไปแล้วสำหรับคนไทยที่จะสามารถเลือกวัคซีนได้” เกราะจะบางหรือปานกลางก็ต้องแย่งฉวยใส่กันป่วยกันตายไปก่อน Vaccination และ Victory ที่แท้จริง ต้องฉีดวัคซีนเดือนละไม่ต่ำกว่า 15 ล้านโดส โดยต้องพยายามให้เป็น Sinovac ให้น้อยที่สุด นี่คือทางรอดเดียวที่เหลืออยู่ รัฐบาลประยุทธ์จะผลักดันให้เป็นจริงได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ก็ควรจะพิจารณาตนเองลาออกไป
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ
อ้างอิง: