นับเป็นอีกก้าวสำคัญของ Netflix และเป็นการตอกย้ำกับทุกคนอีกครั้งว่าพวกเขาคือเบอร์หนึ่งในตลาดสตรีมมิง เมื่อล่าสุดได้เซ็นสัญญาผลิตภาพยนตร์หลายปีกับทาง Amblin Partners บริษัทโปรดักชันของ สตีเวน สปีลเบิร์ก หนึ่งในสุดยอดผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดจนได้รับฉายา ‘พ่อมดแห่งฮอลลีวูด’
โดยสัญญาฉบับนี้ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดออกมาชัดเจนว่าเซ็นกันกี่ปี รวมถึงข้อมูลเรื่องจำนวนเงินค่าตอบแทนก็ถูกเก็บเป็นความลับด้วยเช่นกัน แต่จากรายงานบอกว่าสปีลเบิร์กและทีมงานจาก Amblin Partners ของเขาจะผลิตภาพยนตร์เข้าฉายใน Netflix ปีละ ‘หลายเรื่อง’
“สตีเวนเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และความคิดสร้างสรรค์ และก็เหมือนกับคนอื่นๆ ทั่วโลก ผมเติบโตขึ้นมาพร้อมกับเหล่าตัวละครและเรื่องราวอันน่าจดจำของเขา ซึ่งทุกวันนี้มันยังคงสร้างแรงบันดาลใจมหาศาล”
“เราแทบรอไม่ไหวแล้วที่จะได้ร่วมงานกับทีม Amblin Partners เรารู้สึกเป็นเกียรติและตื่นเต้นมากที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ของ สตีเวน สปีลเบิร์ก” เท็ด ซาแรนดอส หนึ่งในบริหารของ Netflix กล่าว
อย่างไรก็ตามแม้สปีลเบิร์กผู้เป็นเจ้าของผลงานระดับมาสเตอร์พีซมากมาย ทั้ง Jaw (1972), E.T. the Extra-Terrestrial (1982), Jurassic Park (1993), Saving Private Ryan (1998), Catch Me If You Can (2002), Ready Player One (2018), แฟรนไชส์ Indiana Jones ฯลฯ
แม้จะเคยมีประเด็นที่เขาออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าภาพยนตร์ซึ่งถูกผลิตให้บริษัทสตรีมมิง โดยเฉพาะ Netflix นั้นไม่ควรได้ฉายในโรงภาพยนตร์ และไม่ควรได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ แต่เขาก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมากที่จะได้ร่วมงานกับ Netflix
โดยสปีลเบิร์กได้เปลี่ยนความคิดของตัวเองใหม่ ปัจจุบันเขามองว่ามันไม่สำคัญอีกแล้วว่าภาพยนตร์จะฉายทางทีวี สตรีมมิง หรือโรงภาพยนตร์ สำหรับเขาสิ่งที่ควรใส่ใจจริงๆ คือ ‘เรื่องราว’ ต่างหาก ซึ่งก็คาดว่าในอนาคตอันใกล้เราจะได้ตื่นตาตื่นใจกับเรื่องราวอันยอดเยี่ยมในภาพยนตร์ของเขาบน Netflix เป็นจำนวนมากแน่นอน
ภาพ: Pascal Le Segretain / Getty Images
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ
อ้างอิง: