ผ่านมาได้ราว 10 วัน ต้องบอกว่าฟุตบอลยูโรหนนี้มีความประทับใจเกิดขึ้นหลายเรื่องนะครับ
แน่นอนว่าเรื่องราวของ คริสเตียน อีริกเซน เป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นห้วงเวลาที่เราได้เห็นหน้าของปาฏิหาริย์พร้อมกันทั้งโลก (อ่าน ถอดบทเรียนนาทีชีวิตของ คริสเตียน อีริกเซน อะไรที่ช่วยให้เรายังไม่สูญเสียเขาไป)
ยังมีเกม ‘มหัศจรรย์แม็กยาร์’ ที่ทีมชาติฮังการีทำให้แฟนฟุตบอลทั้งชาติได้กลับมามีความสุขและภูมิใจอีกครั้ง เมื่อสามารถต่อกรกับทีมแชมป์โลกอย่างฝรั่งเศสได้แบบที่เกือบจะคว้าชัยชนะประวัติศาสตร์ด้วยซ้ำไป
ภาพของแฟนฟุตบอลในปุสกัส อารีนา ที่เข้ามาเต็มความจุเองก็เป็นภาพที่ประทับใจ กระทั่ง ‘เคน นครินทร์’ ยังบอกว่า “รู้สึกเหมือนโลกกลับมาแล้ว”
อีกหนึ่งสิ่งที่อยากจะหยิบมาพูดถึงในวันนี้คือทีมชาติอิตาลีครับ กับการโชว์ฟอร์มสวยหรูใน 2 เกมแรก ด้วยการถล่มตุรกีและสวิตเซอร์แลนด์ขาดลอยด้วยสกอร์ 3-0 ทั้ง 2 นัด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้อิตาลีไม่เคยยิงประตูในรายการระดับเมเจอร์เกินกว่า 2 ลูกได้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว
และทั้งๆ ที่แทบไม่ได้มีใครสนใจหรือเชื่อมือพวกเขาสักเท่าไร เพราะ ‘อัซซูรี’ ยุคนี้นอกจากจะไม่มี ‘Fantasista’ หรือจอมทัพหมายเลข 10 ที่สง่างามและมหัศจรรย์ในคนเดียวกัน เหมือนในอดีตที่มี โรแบร์โต บาจโจ, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร และฟรานเชสโก ต็อตติ พวกเขายังไม่มีดาวเด่นเป็นสง่าเหมือนทีมอื่นเขาด้วย
อิตาลีคืนชีพกลับมาได้อย่างไร
ต้องย้อนกลับไปสักนิดครับว่าก่อนหน้านี้วงการฟุตบอลอิตาลีตกต่ำและซบเซามาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยหลังจากที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2006 (ซึ่งก็เป็นการคว้าแชมป์แบบหักปากกาเซียน เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นเต็งเลยด้วยซ้ำ) ทีมอัซซูรีก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ
สาเหตุนั้นมีหลากหลายครับ แต่โดยหลักใหญ่แล้วคือวงการฟุตบอลอิตาลีเองซบเซา จากปัญหาฟองสบู่แตกของสโมสรฟุตบอลระดับชั้นนำ ที่ทำให้สโมสรอย่างอินเตอร์ มิลาน, เอซี มิลาน, โรมา, ลาซิโอ หรือพูดง่ายๆ คือ ทั้งกัลโช เซเรีย อา ไม่สามารถกวาดต้อนซูเปอร์สตาร์นักเตะที่ดีที่สุดในโลกมาได้เหมือนในอดีตอีก
ศูนย์กลางอำนาจของเกมลูกหนังโยกย้ายไปสู่พรีเมียร์ลีกที่พร้อมพรั่งกว่าทางการเงิน ทำให้ไม่ว่าจะเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดหรือโค้ชที่เก่งที่สุดเริ่มทยอยไปอังกฤษหมด และมันเป็นเช่นนี้มาเป็นระยะเวลานาน
นานมากพอที่วงการฟุตบอลอิตาลีจะตกต่ำอย่างชัดเจน ทีมสโมสรของพวกเขาไม่แข็งแกร่งเหมือนเก่า และทีมชาติเองก็ย่ำแย่ตามไปด้วย เนื่องจากสายเลือดใหม่นั้นไม่มีคุณภาพเหมือนรุ่นพี่ โดยที่นักเตะรุ่นเก๋าเองก็อยู่รับใช้ทีมมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกินไป
จุดตกต่ำที่สุดของอิตาลีคือการตกรอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2018 ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปีใต้การนำของ จามปิเอโร ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของทีมชาติอิตาลี
โรแบร์โต มันชินี ได้รับเลือกให้เข้ามาเป็นโค้ชทีมชาติคนใหม่ครับ พร้อมกับการอำลาของเหล่า The Old Guards หรือนักเตะที่รับใช้ทีมชาติอย่างซื่อสัตย์ ไม่ว่าจะเป็น จอร์โจ คิเอลลินี, จานลุยจิ บุฟฟอน, อันเดรีย บาซาญี และ ดานิเอเล เด รอสซี ที่ประกาศอำลาทีมชาติพร้อมกัน
โดย ‘มันโช’ ประกาศในวันเข้ารับตำแหน่งว่า “เขามีความตั้งใจที่จะเป็นโค้ชที่ดีและพาทีมอิตาลีกลับไปสู่จุดสูงสุดของโลกให้ได้อีกครั้ง”
การจากไปของนักเตะเหล่านี้เหมือนจะเป็นหายนะ
แต่ในเวลาเดียวกันมันก็เป็น ‘โอกาส’ ที่ทำให้มันชินีสามารถเริ่มต้นสร้างทีมทุกอย่างขึ้นมาใหม่จากการนับศูนย์ โดยไม่ได้นำปรัชญาหรือแนวคิดเก่าๆ ที่เคยใช้ในอดีตมาเป็นแนวทาง แต่เป็นการสร้างของสิ่งใหม่ขึ้นมาเลย
มันชินีเลือกที่จะทิ้งไอเดียเก่าๆ ที่ตกยุคไปแล้วอย่าง Fantasista ซึ่งปัจจุบันไม่มีสโมสรไหนในอิตาลีที่มีผู้เล่นในบทบาทนี้อีก เพราะฟุตบอลสมัยใหม่ไม่สามารถที่จะปล่อยให้ผู้เล่นคนใดคนหนึ่งมีอิสระในการทำทุกอย่างยกเว้นทำหน้าที่ในเกมรับไม่ได้
เช่นกันกับ ‘อัตลักษณ์’ ของชาติอย่างปรัชญาการเล่นแบบ ‘Catenaccio’ ที่เน้นเกมรับที่แข็งแกร่งชนิดเจาะไม่เข้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก 1982 และ 2006, รองแชมป์ฟุตบอลโลก 1994 และรองแชมป์ฟุตบอลยูโร 2000 และ 2012
อิตาลียุคใหม่นั้นจะต้องเล่นฟุตบอลเกมรุกที่สวยงาม เร้าใจ และไม่ต้องพึ่งพาใครคนใดคนหนึ่งอีกต่อไป
Buongiorno! 🌞☕️🇮🇹 pic.twitter.com/4BB1cStB6Y
— Nazionale Italiana ⭐️⭐️⭐️⭐️ (@Vivo_Azzurro) June 17, 2021
มานูเอล โลคาเตลลี เป็นหนึ่งในนักเตะที่ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจของอิตาลีใน 2 เกมแรก
โดยผู้ที่ให้คำแนะนำที่สำคัญกับมันชินี – หรือความจริงคือการชี้ทางสว่างให้แก่วงการฟุตบอลอิตาลี – คือ อาร์ริโก ซาคคี ปราชญ์ลูกหนังผู้ยิ่งใหญ่ ที่มองเห็นเค้าลางของความตกต่ำของทีมอัซซูรีมายาวนานหลายปี
ในวันที่อิตาลีพ่ายต่อสวีเดนในเกมเพลย์ออฟฟุตบอลโลกเมื่อปลายปี 2017 ขณะที่ผู้คนก่นด่าสาปแช่งเวนตูราว่าเป็นผู้สร้างตราบาปให้แก่ทีมชาติ แต่ซาคคีกลับบอกว่า “ความพ่ายแพ้ครั้งนี้มันไม่ได้เกิดโดยไม่มีสาเหตุ เรามาถึงจุดนี้ได้หลังจากฟุตบอลโลกที่เหมือนหายนะมาถึง 2 ครั้ง”
2 ครั้งที่ซาคคีกล่าวคือฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ และฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิล ซึ่งอิตาลีไม่ผ่านรอบแรกทั้งสองครั้ง แม้ว่าจะเข้าชิงฟุตบอลยูโร 2012 และเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในยูโร 2016 แต่ก็เป็นเรื่องของจังหวะในเกมฟุตบอลมากกว่า
ซาคคีซึ่งมีบทบาทในฐานะผู้ประสานงานทีมชาติชุดเยาวชนของอิตาลีมาตั้งแต่ปี 2010 และอยู่ในตำแหน่งถึงปี 2014 ที่เคยบอกว่าอิตาลีควรจะเล่นให้เหมือนสเปน (ในยุคทอง)
“เพราะสเปนนั้นถ้าเล่นได้แย่ ถึงจะชนะแฟนบอลก็ไม่ปรบมือให้”
จากการชี้ทางของปราชญ์ลูกหนังในวันวาน มาถึงความกล้าหาญของมันชินีกล้าคิดใหม่ทำใหม่ ทำให้อิตาลีค่อยๆ กลับมาเป็นทีมฟุตบอลที่ดีขึ้นอย่างเงียบๆ โดยในขณะที่โลกกำลังตื่นเต้นกับขุมกำลังของทีมชาติฝรั่งเศสและนักเตะที่มีโอกาสเป็นราชาลูกหนังแห่งอนาคตอย่าง คีเลียน เอ็มบัปเป, เบลเยียมตั้งคำถามว่าเมื่อไรทีมชาติของพวกเขาจะคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ได้ และอังกฤษเริ่มคุยโตอีกครั้งกับ Golden Generation ชุดใหม่ที่ไฉไลไม่แพ้รุ่นเก่า
มันชินีก็ใช้เวลานี้ประกอบร่างทีมในฝันของเขาขึ้นอย่างช้าๆ ด้วยนักเตะอย่าง ชิโร อิมโมบิเล, นิโคโล บาเรลลา, ลอเรนโซ อินซิเญ (คนที่เวนตูราไม่ยอมส่งลงสนาม ทั้งที่ทีมต้องการประตูในเกมกับสวีเดน) มาจนถึง โดเมนิโก เบร์ราดี และ มานูเอล โลคาเตลลี สองกองกลางจากสโมสรเล็กๆ อย่างซาสซูโอโล
ทีมชุดนี้อาจจะเริ่มต้นด้วยการเสมอโปแลนด์ในเกมเนชันส์ลีก ก่อนจะพ่ายต่อโปรตุเกสในเดือนกันยายน 2018 แต่หลังจากนั้นพวกเขาไม่แพ้ใครอีกเลยจนถึงวันนี้
ที่สำคัญคือผลงานการเล่นนั้นร้อนแรงอย่างมาก โดยเฉพาะในรายการฟุตบอลยูโร 2020 ที่สามารถเก็บชัยชนะรวด 10 นัดในรอบคัดเลือก ทำได้มากถึง 37 ประตู หรือเฉลี่ยนัดละ 3.7 ประตู และเสียไปเพียงแค่ 4 ประตูเท่านั้น หรือเฉลี่ย 0.25 ประตูต่อนัด
อิตาลีชุดปัจจุบันเน้นการเล่นเกมรุก เล่นฟุตบอลรวดเร็ว เพรสซิงสูงในแดนคู่ต่อสู้ วิ่งไล่กันทุกคนจนหยดสุดท้าย เซ็ตบอลจากแดนหลังที่ต้องแก้สถานการณ์ให้ได้ไม่ว่าจะถูกกดดันหนักแค่ไหน
ที่สำคัญคือทีมนี้ไม่มีสตาร์ นักเตะทุกคนสามารถลงเล่นเพื่อทดแทนกันและกันได้ เหมือนกรณีของฟุตบอลยูโร 2020 ครั้งนี้ที่ มาร์โก แวร์รัตติ กองกลางคีย์แมน มีอาการบาดเจ็บไม่สามารถกลับมาเล่นได้ทันใน 2 นัดแรกได้แน่นอน แต่มันชินีก็มีโลคาเตลลี ที่สามารถทดแทนได้อย่างไม่ขัดเขิน และเล่นได้อย่างโดดเด่นด้วยซ้ำไป
อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือทีมสปิริตที่นักเตะชุดนี้มีความกลมเกลียวกันอย่างเหลือเชื่อ ยกตัวอย่างเช่นกองหน้าอย่างอิมโมบิเล ทุกวันนี้ยังมีรูมเมตเป็น อันเดรีย เบล็อตติ ศูนย์หน้าที่เป็นคู่แข่งชิงตำแหน่งกันในทีม โดยไม่คิดถึงว่าจะต้องมาแก่งแย่งชิงดีกัน
ทุกคนมีหน้าที่และบทบาท ขึ้นอยู่กับโค้ชว่าจะเลือกใคร สิ่งที่พวกเขาจะทำคือการทุ่มเทอย่างเต็มที่ ไม่ใช่แค่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อคนอื่นด้วย
La forza del gruppo! 👏🏻👏🏻👏🏻#ITA #ITASVI #ItaliaSvizzera#Nazionale #Azzurri #VivoAzzurro pic.twitter.com/ShrXhF6JKx
— Nazionale Italiana ⭐️⭐️⭐️⭐️ (@Vivo_Azzurro) June 16, 2021
ดังนั้น ผลงานสวยหรูของอิตาลีวันนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นโดย ‘ไม่มีที่มาที่ไป’ ครับ หากแต่มันเป็นสิ่งที่ถูกคิดและเตรียมมาอย่างดีแล้ว
สำหรับมันชินี มีสิ่งเดียวที่เขาร้องขอจากนักเตะเป็นพิเศษผ่านจดหมายน้อยที่มอบให้แก่ทุกคนก่อนที่จะเริ่มแข่งยูโรหนนี้
“ขอให้ทุกคนลงสนามโดยไม่ต้องคิดต้องกลัวอะไร ให้เหมือนกับวัยเด็กที่ทุกคนเริ่มหัดเล่นฟุตบอล”
เพราะแบบนี้จึงไม่แปลกที่เราจะได้เห็นอิตาลีวิ่งไล่แย่งลูกฟุตบอล และพยายามวาดลวดลายในสนาม ใช้จินตนาการอย่างเต็มที่ เล่นให้สนุกเหมือนตอนเป็นเด็ก
และนี่คืออีกหนึ่งในเรื่องประทับใจของฟุตบอลยูโร 2020 หนนี้ ที่ผมเชื่อว่าน่าจะมีหลายคนหันมาเชียร์อิตาลีกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
ผมเองก็เช่นกันครับ ประทับใจ 🙂
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/football/2021/jun/19/brio-of-berardi-and-locatelli-at-the-heart-of-revitalised-young-italy
- https://www.theguardian.com/football/2021/jun/10/renaissance-man-how-mancini-turned-italy-from-mess-to-winning-machine
- https://theathletic.com/2634406/2021/06/08/italys-rebirth-and-mancinis-second-chance-how-the-azzurri-came-back-from-the-brink/
- อยากให้ลองสังเกตในวันที่อิตาลีลงแข่งขัน มันชินีและสตาฟฟ์โค้ชจะสวมชุดสูทสุดคลาสสิกซึ่งเป็นชุดที่ Armani ตัดให้
- เวลาร้องเพลงชาติ นักเตะอิตาลีจะร้องกัน ‘สุด’ เสมอ (มีคนแซวว่าคิเอลลินีกับจานลุยจิ ดอนนารุมมา แข่งกันว่าใครจะร้องดังและเพี้ยนกว่ากัน) เพราะเพลงชาติของพวกเขา Il Canto degli Italiani มีเนื้อหาปลุกเร้าดุดัน เสมือนนักรบที่จะต่อสู้เพื่อ ‘โรมันอันยิ่งใหญ่’ เป็นอีกสีสันที่น่าประทับใจ