×

เปิดลิ้นชัก เป๊ป กวาร์ดิโอลา เขามีวิธีสร้างทีม ‘แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2.0’ ขึ้นมาได้อย่างไร?

12.05.2021
  • LOADING...
เป๊ป กวาร์ดิโอลา

HIGHLIGHTS

10 mins. read
  • เป๊ป กวาร์ดิโอลา เคยถูกมองว่าจะทิ้งแมนเชสเตอร์ ซิตี้เหมือนที่เคยทำกับบาร์เซโลนาและบาเยิร์น มิวนิก แต่สุดท้ายเขาตัดสินใจต่อสัญญากับทีมที่ให้อิสระในการทำงานกับเขามากที่สุด
  • แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไม่ได้เล่นดีตั้งแต่ต้นฤดูกาล ในทางตรงกันข้ามพวกเขาย่ำแย่เกือบครึ่งฤดูกาล แย่จนเป๊ปก็ยังรับทีมตัวเองไม่ได้ แต่มันได้นำไปสู่การค้นพบคำตอบที่สำคัญที่ไขปัญหาทุกอย่างในเวลาต่อมา
  • ความสำเร็จของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ไม่ได้มาจากมันสมองของเป๊ปคนเดียว แต่มาจากการร่วมกันออกแบบ ‘พิมพ์เขียว’ ของทีมที่ช่วยทำให้พวกเขาค่อยๆ กลับมาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมอีกครั้ง
  • ในช่วงที่ทีมประสบปัญหาการเล่นอย่างหนัก เป๊ปได้มอบหมายให้ ‘พี่ใหญ่’ คนหนึ่งในทีมส่งข้อความบางอย่างถึงทุกคน และทำให้เกิดการระบายอารมณ์ครั้งใหญ่ที่กลายเป็นดี

ในที่สุด ‘เรือใบสีฟ้า’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ก็คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกประจำฤดูกาล 2020-21 ไปครองได้สำเร็จโดยคนเชิญถ้วยแชมป์ให้พวกเขาดันเป็นคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ผู้เคยประณามพวกเขาในฐานะ ‘เพื่อนบ้านจอมเสียงดัง’ เสียด้วย

 

เป็นความบังเอิญที่ก็น่าคิดดีนะครับ เพราะยูไนเต็ดเองก็คงไม่ได้ตั้งใจหรอก แต่พวกเขาต้องลงสนาม 4 นัดในระยะเวลาห่างกันเพียง 8 วัน ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นสำหรับ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ ที่จะต้องหมุนเวียนผู้เล่น สุดท้ายก็พ่ายต่อเลสเตอร์ ซิตี้ และกลายเป็นการเชิญถ้วยแชมป์ให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ไป (แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้ลิเวอร์พูลแทบหมดหวังในการไปแชมเปียนส์ลีกด้วย!)

 

ความสำเร็จของซิตี้ ซึ่งคว้าแชมป์ลีกคัพมาได้ก่อนหน้านี้ และมีโอกาสจะคว้าถ้วยรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พวกเขาฝันถึงตลอดอย่างยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ซึ่งจะชิงชนะเลิศกับคนกันเองอย่างเชลซีด้วย ทำให้มีการยกย่องทีมชุดปัจจุบันของเป๊ปว่าเป็นทีมที่สุดยอดอย่างแท้จริง

 

เป็น ‘แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2.0’ ที่น่าหวาดหวั่นสำหรับคู่แข่งในวงการฟุตบอลอังกฤษ เพราะมีแนวโน้มที่ทีมชุดนี้จะตั้งค่ามาตรฐานเอาไว้สูงและยากที่จะไล่ตามได้ทั

 

อย่างไรก็ดี ก่อนที่เรือใบสีฟ้าลำนี้จะมาถึงจุดนี้ได้ พวกเขาเคยอยู่ในช่วงเวลาที่เปรียบไปก็เหมือนกับเรือที่มีรูรั่ว น้ำเริ่มทะลักเข้ามา คนขับชักไม่แน่ใจว่าหันหัวเรือไปถูกทางไหม และส่อแววว่ามีโอกาสที่จะจมลง

 

เป๊ปทำอย่างไรในการแก้ไขปัญหาทุกอย่าง และทำในสิ่งที่ใครหลายคนเคยตั้งข้อสงสัยในตัวเขาอย่างเรื่องของการ ‘สร้างทีมชุดใหม่’ ได้อย่างไรกัน?

 

น้ำยาล้างใจจากคนที่เชื่อใจ

บิดเข็มนาฬิกาย้อนเวลากลับไปสักนิด ในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่แล้ว เป๊ป กวาร์ดิโอลา ประกาศข่าวดีว่าเขาได้บรรลุข้อตกลกต่อสัญญากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ออกไปเรียบร้อย 

 

การต่อสัญญาครั้งนั้นเป็นการยุติกระแสข่าวลือที่มีตลอดมาว่าเขาคงจะไปจากสโมสรตามสไตล์เหมือนที่เคยทำกับบาร์เซโลนาและบาเยิร์น มิวนิก และจะทำให้กุนซือสายเลือดคาตาลันอยู่ในถิ่นเอติฮัด สเตเดียมนานยิ่งกว่าที่เคยอยู่กับสองสโมสรมหาอำนาจลูกหนัง

 

เรื่องที่เป๊ปคงจะไปจากทีมนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่สื่อหรือแฟนบอลคิดเท่านั้น แม้กระทั่งในทีมเอง บรรดาสตาฟฟ์ของสโมสรและนักฟุตบอลก็แอบเชื่อแบบนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะซิตี้กำลังเดินทางมาถึงขาลงแล้ว พวกเขาเสียแชมป์ให้ลิเวอร์พูลในฤดูกาลที่แล้วโดยที่ไม่มีอะไรจะไปสู้ด้วย ทีมเกือบถูกทำลายด้วยการลงโทษจากการเข้าร่วมฟุตบอลยุโรป 2 ปีแม้ว่าจะอุทธรณ์ชนะได้สำเร็จ 

 

หลายคนก็ชักไม่แน่ใจว่าเป๊ปจะยังเป็นคนที่ ‘ใช่’ สำหรับงานนี้ไหม เพราะเขาเองก็ไม่เคยฝากชีวิตไว้กับสโมสรไหนเกินกว่า 5 ปี

 

เรื่องนี้ทำให้ คัลดูน คาลิฟา อัล มูบารัค ประธานสโมสรซึ่งมีความสนิทชิดเชื้อ อีกทั้งยังนับถือฝีมือกันและกันกับเป๊ป ตัดสินใจเดินทางไปพบกับกุนซือของทีมในระหว่างช่วงพักเล็กๆ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง

 

การพบกันครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นที่แมนเชสเตอร์ แต่พวกเขาไปพบกันที่มัลดีฟส์ สถานที่พักผ่อนในดวงใจของเป๊ป ซึ่งก็เป็นเรื่องบังเอิญบนความจงใจเพราะอัล มูบารัคเองก็คุ้นเคยกับมัลดีฟส์เป็นอย่างดี เพราะ ‘Mubadala’ กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของอาบูดาบี ซึ่งเขาเป็นผู้นำก็มาลงทุนสร้างโรงแรมที่พักสุดอลังการที่นี่พอดี

 

ทั้งสองจึงได้มีโอกาสเปิดใจคุยกันกับคำถามที่สำคัญที่สุด ว่าตกลงแล้วเป๊ปยังอยากจะทำงานที่นี่ต่อไปไหม? หลังดูแนวโน้มแล้วซิตี้มีสิ่งที่ต้องจัดการมากมาย ไม่นับวิกฤตโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงชีวิตส่วนตัวของเป๊ปที่ความสุขหายไปอย่างน้อยหนึ่งอย่างเพราะเขาออกไปตีกอล์ฟไม่ได้

 

ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอนาคตของเขายังทำให้ในช่วงก่อนหน้าที่ฤดูกาลใหม่จะเริ่ม ภายในสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้เองเริ่มมีการมองหาตัวเลือกใหม่ที่จะมารับตำแหน่งแทนหากเป๊ปซึ่งเหลือสัญญาแค่สิ้นสุดฤดูกาลนี้จะไม่อยากอยู่กับทีมต่อ โดยตัวเลือกในเวลานั้นมี เมาริซิโอ โปเช็ตติโน, เบรนแดน ร็อดเจอร์ส รวมถึง ยูเลียน นาเกิลส์มันน์ 

 

ไม่ต้องสงสัยว่าในใจของนักเตะในทีมก็คิดเหมือนกัน 

 

เพียงแต่คำตอบที่อัล มูบารัคได้รับกลับมาคือ “ผมจะอยู่ต่อ” 

 

ใครบางคนบอกว่า “เป๊ปมาที่แมนเชสเตอร์เพื่อ ซิกิ (เบกิริสไตน์, ผู้อำนวยการสโมสร) และ เฟร์ราน (โซเรียโน, ซีอีโอของสโมสร) แต่เขาตัดสินใจจะอยู่ต่อเพื่ออัล มูบารัค”

 

เพราะเป๊ปรู้ดีว่าเขาไม่สามารถหา ‘สิ่งแวดล้อม’ ในการทำงานที่ไหนที่จะดีไปกว่าที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่อัล มูบารัคพร้อมให้การสนับสนุนเขาในทุกสิ่งทุกอย่างที่ร้องขอ แม้กระทั่งหญ้าในสนามเอติฮัดไม่เรียบร้อย แค่ยกหูหาประธานสโมสร ก็จัดการจ้างที่ปรึกษาที่ชำนาญในด้านการดูแลสภาพสนามมาช่วยงานผู้ดูแลแล้ว

 

ยังไม่ถึงเวลาที่จะจากไป เขามีสิ่งที่ต้องทำ

 

อย่างน้อยที่สุดเป๊ปก็ ‘รู้ใจตัวเอง’ และไม่ทรยศต่อความรู้สึกของตัวเอง

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา

จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงคือการปรับสไตล์การเล่นใหม่ วิ่งให้น้อย เล่นให้ช้า! 

 

ยูเรก้า! เมื่อ Pausa คือคำตอบ

แต่การต่อสัญญาของเป๊ปก็ไม่ได้ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้กลับมาเป็นทีมที่ยอดเยี่ยมเหมือนเดิมได้ในทันที

 

ผลงานของพวกเขาในช่วงแรกของฤดูกาลย่ำแย่ต่อเนื่องจากฤดูกาลที่แล้ว ครั้งหนึ่งเคยไหลไปไกลถึงอันดับที่ 11 เคยโดนเลสเตอร์ ซิตี้บุกมาถล่ม 5-2 และพ่ายแพ้ให้กับท็อตแนม ฮอตสเปอร์ของ โชเซ มูรินโญ แต่ที่แย่กว่าผลการแข่งขันคือฟุตบอลที่ลูกทีมของเขาเล่นนั้นมันไม่ใช่ฟุตบอลในแบบที่เขาชอบเลยแม้แต่น้อย

 

ไม่น่าแปลกใจที่ในการให้สัมภาษณ์กับสื่อหลายครั้ง เป๊ปจะมีอาการ ‘จิตหลุด’ ออกมาให้เห็น

 

เหตุผลในความตกต่ำของซิตี้เกิดจากหลายสิ่งรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียอีกหนึ่งผู้นำของทีมอย่าง ดาบิด ซิลบา ที่อำลาทีมหลังสิ้นสุดฤดูกาลที่แล้ว รวมถึง ลีรอย ซาเน และ นิโกลัส โอตาเมนดี้ ขณะที่นักเตะใหม่อย่าง รูเบน ดิอาส, นาธาน อาเก และ เฟร์ราน ตอร์เรส ยังอยู่ในระหว่างการปรับตัวกับสโมสรใหม่

 

นอกจากนี้ยังมีแท็กติกการเล่นใหม่ที่ซิตี้ไม่ได้เน้นเกมเพรสซิ่งสูงแบบที่เคย อาการบาดเจ็บในแดนกลางและแนวรับของผู้เล่นหลายคนทำให้ทีมอ่อนแอลง ไปจนถึงช่วงพรีซีซันที่มีระยะเวลาในการเตรียมตัวสั้นมากเพราะพวกเขาต้องลงแข่งใน ‘มินิทัวร์นาเมนต์’ แชมเปียนส์ลีก ที่ปรับรูปแบบใหม่และยังพ่ายแพ้ต่อลียงตกรอบแบบสุดช้ำอีก

 

ดิอาส นักเตะที่ความจริงไม่ได้เป็นตัวเลือกแรกด้วย แต่เป็นตัวเลือกที่ 3 รองจาก คาลิดู คูลิบาลี ของนาโปลี และ ชูลส์ คุนเด ของเซบียา แต่จอมแกร่งจากเบนฟิกาเข้ามาช่วยประคับประคองทีมได้ประมาณหนึ่ง

 

ที่อาการหนักกว่าเกมรับคือเกมรุก อาการบาดเจ็บของ เซร์คิโอ อเกวโร ส่งผลกระทบอย่างมาก ขณะที่ กาเบรียล เฆซุส ไม่สามารถก้าวขึ้นมาทดแทนได้ ทำให้ทีมต้องพึ่งกับความสามารถของ เควิน เดอ บรอยน์ นักเตะที่เป็น ‘เสาหลัก’ ของทีมเป็นหลัก แต่นั่นก็ไม่ดีพอ

 

แมนเชสเตอร์ ซิตี้กลายเป็นทีมที่ไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาสดีและมากพอ เป็นทีมที่แม้แต่เป๊ปเองยังไม่อยากดูด้วยซ้ำไป

 

จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเกมที่พวกเขาเสมอกับเวสต์บรอมวิช อัลเบียนในช่วงกลางเดือนธันวาคม เมื่อเขาพยายามปรับสูตรการเล่นให้เควิน เดอ บรอยน์ไปยืนทางขวา ร่วมกับ ฟิล โฟเดน และ ราฮีม สเตอร์ลิง ที่เล่นตำแหน่งตามธรรมชาติของเท้า 

 

ฟังแล้วเหมือนจะเข้าท่า แต่ผลลัพธ์มันออกมาไม่ดี เพราะซิตี้ทำได้แค่เสมอ 1-1 ในเกมดังกล่าว แต่ในเกมนั้นเองที่เป๊ปได้ฉุกคิดอะไรบางอย่าง ว่าอะไรคือสาเหตุของความรู้สึก ‘ไม่ไหวแล้ว’ กับทีมของตัวเอง

 

หลังพยายามใช้ ‘สมอง’ คิดแบบอิคคิวซัง เป๊ปก็ค้นพบคำตอบว่าทุกอย่างมันเกิดจากการที่ทีมของพวกเขาพยายามที่จะ ‘วิ่ง’ มากเกินไป

 

ลองจินตนาการว่าหากเป็นทีมทั่วไปที่ตกอยู่ในช่วงที่ผลงานย่ำแย่ สิ่งที่ผู้จัดการทีมหรือนักเตะจะทำคือพยายามให้มากขึ้น หนักขึ้น วิ่งให้เยอะขึ้น เพราะหวังว่าความพยายามจะช่วยให้ทุกอย่างกลับมาเข้าที่เข้าทาง แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่จะได้ผลดีเสมอไป

 

ดังนั้นเป๊ปจึงบอกลูกทีมว่า ‘ต่อไปนี้ขอให้เล่นช้าลง’ ไม่ต้องไปวิ่งเยอะ เก็บบอลให้ได้ รักษาตำแหน่งให้ดี และจะเปลี่ยนจังหวะการเล่นก็ต่อเมื่อมองเห็นโอกาสจะจู่โจมเท่านั้น

 

สิ่งที่เป๊ปพูดนั้นเหมือนจะเป็นสิ่งใหม่ แต่ความจริงแล้วมันคือการกลับไปเล่นตามพื้นฐานการเล่นของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เขาวางเอาไว้เท่านั้นเอง

 

โดย ‘คีย์เวิร์ด’ ที่ไขปัญหาทุกอย่างคือคำว่า ‘Pausa’ หรือการเล่นให้ช้าลง รอจังหวะที่เหมาะสมจึงค่อยปล่อยบอลออกไป

 

นี่คือโมเมนต์ ‘ยูเรก้า’ กับการค้นพบสิ่งที่ยิ่งใหญ่แต่เรียบง่ายของเป๊ป

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา

เป๊ปสวมกอด ฆวนมา ลิโย ที่เป็นทั้งมือขวา ครู และเป็นเพื่อนคนสำคัญ

 

พิมพ์เขียวของความสำเร็จที่ไม่ได้มาจากเป๊ปคนเดียว

อย่างไรก็ดี เป๊ปไม่ได้เป็นคนเดียวที่กอบกู้สโมสร

 

การกลับมาของซิตี้นั้นยังเกิดจาก ‘พิมพ์เขียว’ ที่เขาได้ร่วมกันวางแนวทางกับ ซิกิ เบกิริสไตน์, มาเนล เอสติอาร์เต (มือขวาของซิกิ), โรดอลโฟ บอร์เรลล์ ผู้ช่วยโค้ช และมือขวาของเป๊ปที่เป็นครูของเขาอย่าง ฆวนมา ลิโย ด้วย

 

ในพิมพ์เขียวนี้เป็นแนวทางในการทำให้ซิตี้กลับมาเล่นในสไตล์การคอนโทรลเกมโดยที่ไม่จำเป็นต้องสูญเสียความอันตรายในแนวรุกไป ซึ่งคนที่กลายเป็นกุญแจดอกสำคัญของทีมคือ อิลคาย กุนโดกัน มิดฟิลด์ทีมชาติเยอรมนี ที่เป็นหนึ่งในนักเตะที่ไม่เคยเปล่งประกายได้อย่างที่ควรจะเป็นเลย

 

การจากไปของ ดาบิด ซิลบา ทำให้เป๊ปเสียคนที่จะเป็น Pausa ที่จะควบคุมจังหวะของเกม ซึ่งตามธรรมชาติแล้วกุนโดกันคือคนที่จะทำหน้าที่นี้ แต่ในพิมพ์เขียวที่บรรดาหัวกะทิในสโมสรคิดร่วมกันนั้น อดีตกองกลางดอร์ทมุนด์ นักเตะคนแรกที่เป๊ปซื้อตัวเข้ามาไม่ควรจะทำหน้าที่แทนซิลวา

 

Job Description ใหม่ของกุนโดกันที่เป๊ปเป็นผู้มอบหมายให้คือการให้อิสระในเกมรุกแก่เขาที่จะสามารถขยับเติมขึ้นสูงได้ตามใจชอบ อยู่ให้ใกล้เขตโทษให้มากและบ่อยที่สุด เพราะพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ของเขาคือการขยับขึ้นไปหาโอกาสทำประตู

 

และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อกุนโดกันเริ่มฟื้นสภาพร่างกายกลับมา (หลังจากการป่วยโควิด-19 หนักจนลุกจากเตียงไม่ได้นานเป็นสัปดาห์) เขากลายเป็นคนที่ช่วยแก้ไขปัญหาเกมรุกของทีมที่ฝืดเคืองได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยมีช่วงที่ทำประตูได้ต่อเนื่องในช่วงเดือนธันวาคมมาจนถึงเข้าปีใหม่ (ปัจจุบันกุนโดกันทำไป 11 ประตู) เป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของเดอ บรอยน์ลงได้มาก

 

นอกจากนี้ยังมี ฟิล โฟเดน เจ้าหนูอัจฉริยะที่เกือบเสียคนแล้วเมื่อมีข่าวฉาวชวนหญิงมานอนดู Netflix ในระหว่างการติดทีมชาติครั้งแรกพร้อมกับ เมสัน กรีนวูด จนสุดท้ายโดนตะเพิดออกจากแคมป์ แต่เป๊ปก็เข้าใจวัยรุ่น อดทนและพร้อมให้โอกาส หลังจากที่ประคบประหงมมาหลายปี 

 

สุดท้ายโฟเดนกลายเป็นคนสำคัญที่ทีมขาดไม่ได้ โดยนอกจากเซนส์ในการเล่นที่มหัศจรรย์แล้วยังมีความสามารถในการเปลี่ยนจังหวะของเกมด้วย (นี่ก็ Pausa!) 

 

เป๊ปยังปรับบทของ ชูเอา กานเซโล ที่เดิมเป็นแบ็กซ้าย ให้กลายมาเป็นแบ็กขวาในสไตล์ Inverted Full-Back คล้ายกับที่เป๊ปเคยเปลี่ยนบทของ ฟิลิปป์ ลาห์ม ในทีมบาเยิร์น มิวนิก ซึ่งแบ็กที่ซื้อมาจากยูเวนตุสก็ได้แสดงพรสวรรค์ให้เห็นในการมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเกมรุกจากพื้นที่ตรงกลางสนามได้

 

ที่อีกฟากของสนาม โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก เองก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีในการช่วยงานเซ็นเตอร์ฮาล์ฟและมิดฟิลด์ตัวรับ ไม่ว่าจะเป็นแฟร์นันดินโญหรือโรดรีเองก็ตาม ซึ่งพลังขับเคลื่อนจากฟูลแบ็กสองข้ามทำให้ปีกสองฟากอย่าง ราฮีม สเตอร์ลิง และริยาด มาห์เรซ สามารถทำงานของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ไม่มีอะไรต้องพะวง และเป็นปีที่ทั้งสองทำผลงานกันได้อย่างน่าประทับใจ

 

ความไม่พะวงของฟูลแบ็กก็เกิดจากการค้นพบคู่เซ็นเตอร์ใหม่แบบไม่ตั้งใจ เมื่อ จอห์น สโตนส์ ที่เคยเกือบหมดอนาคตไปแล้วได้โอกาสในการจับคู่กับ รูเบน ดิอาส ซึ่งเหมือนกับทั้งสองคนนี้เกิดมาเพื่อกันและกันอย่างแท้จริง

 

ดิอาสแข็งแกร่งดุจหินผา วางใจได้ และพร้อมสนับสนุน ช่วยทำให้สโตนส์ ซึ่งมีพรสวรรค์แต่ไม่มั่นคงกลับมามั่นใจในตัวเองอีกครั้ง สิ่งสำคัญคือทั้งสองคนเป็นกองหลังที่สามารถ ‘คลุมพื้นที่’ ในการป้องกันได้กว้างมาก อีกทั้งแกร่งและเก่งพอจะแก้ไขสถานการณ์ได้ ทำให้แบ็กทั้งสองข้างวางใจและสามารถเติมเกมได้เต็มที่

 

เมื่อมองภาพรวมก็จะเห็นว่าปัญหาที่ทับถมกันมานานของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้ค่อยๆ ถูกคลี่คลายด้วยพิมพ์เขียวที่ออกแบบวิธีการเล่นมาเป็นอย่างดี ทำให้ทีมค่อยๆ กลับมาเล่นเป็นระบบจนทำได้เต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง แถมยังได้ระบบใหม่ที่ไม่พึ่งพากองหน้าหรือสตาร์คนใดคนหนึ่งมากไปด้วย เป็นระบบเฉพาะที่มีแต่แมนเชสเตอร์ ซิตี้เท่านั้นที่ทำได้

 

นี่คือเหตุผลที่ทุกครั้งที่เป๊ปได้รางวัลส่วนตัวอะไรก็ตาม เขาจะยกเครดิตให้ทีมงานเสมอ

 

เป๊ป กวาร์ดิโอลา

 

มีสปิริต มีความสำเร็จ

ทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จนั้น บางครั้งความเก่งไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือเรื่องของทีมสปิริต

 

หนึ่งในปัญหาที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้เสียหลักในฤดูกาลที่แล้วนอกจากการเสีย อายเมอริค ลาปอร์ต ที่เจ็บหนักช่วงต้นฤดูกาลแล้ว การเสีย แว็งซองต์ กอมปานี กัปตันทีมผู้ยิ่งใหญ่ที่มีความสำคัญต่อสโมสรอย่างมาก ต่อให้ไม่ได้ลงสนามก็ตาม ทำให้ทีมสูญเสีย ‘ผู้นำ’ ที่เป็นเสาหลักประคองทีมไปด้วย

 

แต่ในฤดูกาลนี้ซิตี้ได้ผู้นำคนนั้นกลับมา และคนที่ว่านั้นไม่ใช่เดอ บรอยน์หรือดิอาสด้วย

 

ในช่วงกลางฤดูกาลซึ่งเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนที่ซิตี้จะกลับมาค้นพบฟอร์มสุดยอดของตัวเองนั้น เป๊ปได้ประชุมทีมกับกลุ่มแกนหลักของสโมสรหารือในสิ่งที่เกิดขึ้นที่เขาไม่สบายใจ และหลังการประชุมนั้นได้มีการเรียกประชุมทีมก่อนซ้อม

 

คนที่เรียกประชุมไม่ใช่เป๊ป แต่เป็น แฟร์นันดินโญ พี่ใหญ่ชาวบราซิลที่เดิมคิดจะไปจากสโมสรแต่เปลี่ยนใจอยู่ต่อไปก่อน

 

กุนซือชาวคาตาลันบอกกับแฟร์นันดินโญว่า เขารู้สึกว่านักเตะในทีม ‘ไม่ทุ่มเทเต็มร้อยเหมือนเดิม’ และเขารู้สึกว่ามันจะเป็นการดีกว่าหากมีใครสักคนที่เป็นคนในทีมเองพูดเรื่องนี้มากกว่าให้ผู้จัดการทีมพูด จึงฝากหน้าที่เอาไว้กับมิดฟิลด์ฮาร์ดแมนด้วย

 

ตามสไตล์ของแฟร์นันดินโญที่เป็นคนซื่อตรง เขาสื่อสารกับคนในทีมอย่างตรงไปตรงมา จากนั้นทุกคนก็ระเบิดอารมณ์ออกมาเป็นโกโก้ครันช์!

 

อย่างไรก็ดี เมื่ออารมณ์ที่พรั่งพรูได้ถูกระบายออกมาจนหมด นักเตะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ทั้งทีมก็รู้ว่ามันถึงเวลาที่พวกเขาจะต้องเปลี่ยนแล้ว ซึ่งความจริงพวกเขาก็รู้กันดีอยู่ในใจ เพียงแต่รอใครสักคนที่จะพูดออกมา และแฟร์นันดินโญก็เป็นคนที่เหมาะสมที่สุดที่จะพูดในสิ่งนี้

 

ขณะที่ดิอาสแม้จะเป็นน้องใหม่ของทีม แต่ความเป็นผู้นำของเขาโดดเด่น และสิ่งสำคัญอย่างมากที่กองหลังจอมแกร่งมอบให้กับทีมไม่ใช่เรื่องของการทำหน้าที่เกมรับ

 

แต่เป็นการทำเพื่อผู้อื่น

 

สิ่งที่ดิอาสทำเพื่อช่วยคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟของเขาทุกคน โดยเฉพาะ จอห์น สโตนส์ (ซึ่งคู่นี้ช่วยให้ซิตี้เก็บคลีนชีตได้มากถึง 12 จาก 18 ในช่วงบ็อกซิ่งเดย์ถึงเดือนกุมภาพันธ์) คือการช่วยให้เพื่อนเล่นกันง่ายขึ้น และให้รู้เสมอว่า “ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เขาจะอยู่ข้างๆ เสมอ”

 

ทัศนคตินี้ได้ถูกส่งต่อไปถึงเพื่อนร่วมทีมทีละคน แมนเชสเตอร์ ซิตี้จึงกลายเป็นทีมที่ทุกคนพร้อมจะช่วยเหลือกัน ทุกคนพร้อมจะสู้เพื่อคนอื่น ซึ่งในยามยากเพราะโควิด-19 ทำให้มีข้อบังคับออกมามากมายที่ทำให้นักฟุตบอลไม่สามารถใกล้ชิดกันได้เหมือนปกติ (กินข้าวด้วยกันไม่ได้ อาบน้ำด้วยกันไม่ได้ เดินทางด้วยกันไม่ได้ ฯลฯ) สปิริตที่เกิดขึ้นของพวกเขาจึงถือเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์

 

บางครั้งที่นักเตะฟอร์มตกถูกถอดจากตำแหน่ง ด้วยอีโก้แล้วพวกเขาย่อมไม่พอใจ แต่ทุกคนจะรอคอยโอกาส และหากได้โอกาสมาก็จะพิสูจน์ความสามารถให้เห็น เช่น ราฮีม สเตอร์ลิง ที่เสียสถานะตัวยืนไปในช่วงหลัง รวมถึง ริยาด มาห์เรซ, แบร์นาโด ซิลวา และ ไคล์ วอล์กเกอร์ เองก็ต้องแสดงสปิริตนักสู้ให้เห็นว่าคู่ควรกับการได้ลงสนาม เป็นบรรยากาศที่ยอดเยี่ยม

 

แม้กระทั่งนักเตะอย่าง แบงฌาแม็ง เมนดี แบ็กซ้ายที่เคยถูกมองเป็นตัวตลกราคาแพง ก็มีส่วนสำคัญในการสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะในทีม ต่อให้ไม่ได้ลงสนามเขาก็พร้อมจะอวยพรเพื่อนทุกคนให้โชคดีและสวมกอดรวมถึงให้คำแนะนำเสมอ

 

อย่าว่าแต่คนอื่นเลย เป๊ปเองก็ได้คนที่จะคอยช่วยเหลือเขาในวันที่อยู่ในความมืดมนอนธการเช่นเดียวกัน

 

คนคนนั้นคือ ฆวนมา ลิโย ผู้เคยเป็นครูของเขาในช่วงสุดท้ายของชีวิตการเล่นที่เม็กซิโก และถูกชวนมาช่วยงานในบทบาทแทนที่ มิเกล อาร์เตตา ซึ่งงานหลักของอดีตกุนซือชาวสเปนวัย 55 ปี (แก่กว่าเป๊ป 5 ปี) คือการสังเกตในสิ่งที่เป๊ปอาจจะไม่ทันสังเกตได้ระหว่างเกม และช่วยหาคำตอบ

 

แต่เขาทำได้มากกว่านั้นเพราะเป็นคนที่สามารถให้กำลังใจยอดกุนซือให้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ด้วย

 

“ไม่มีเขา อันดับในตารางของเราในวันนี้คงเป็นไปไม่ได้เลย” เป๊ปกล่าวไว้ตอนเดือนมกราคม และสังเกตได้ว่าในช่วงหลังกุนซือสมองเพชรเริ่มกลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง

 

ทีมสปิริตจึงเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นสิ่งที่ช่วยนำแมนเชสเตอร์ ซิตี้ให้กลับมาทวงความสำเร็จได้อีกครั้งอย่างสวยงาม

 

ในฤดูกาลที่เป๊ปบอกเองว่า ‘ยากที่สุด’​ แต่พวกเขาทำได้เพราะพวกเขามีกันและกันนั่นเอง 

 

นี่คือ ‘แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2.0 ทีมเก่าในเวอร์ชันใหม่ที่อัปเดตแล้วดีกว่าเดิมที่มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราสามารถศึกษาจากพวกเขาได้ครับ 🙂

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า 

อ้างอิง:

FYI
  • เพราะไปตีกอล์ฟไม่ได้ เป๊ปจึงหาวิธีแก้เบื่อให้ตัวเองด้วยการขี่จักรยานจากบ้านไปสนามซ้อมทุกวัน! ใช้เวลาวันละ 20 นาที และตอนนี้เขาติดใจถึงขนาดเลิกขับรถ Nissan Leaf และจะตั้งก๊วนสิงห์นักปั่นแล้ว
  • ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ฆวนมา ลิโย ได้รับข้อเสนอในการคุมทีมชาติชิลีชุดใหญ่ แต่เขาปฏิเสธโอกาสไปเพราะไม่อยากทิ้งทีมกลางทางอีก
  • การปรับสไตล์และระบบการเล่นทำให้จำนวนประตูในปีนี้ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้ลดลง (ปัจจุบันแข่ง 35 นัดยิงได้ 72 ประตู เฉลี่ย 2.1 นัดต่อประตู) แต่เชื่อกันว่าทีมชุดนี้จะน่ากลัวขึ้นอีกในปีหน้า ไม่ยิงแค่ 1-0 หรือ 2-0 อีกต่อไป โดยเฉพาะหากได้ ‘ศูนย์หน้า’ ตัวจริงมาเสริมทีม
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X