ปรากฏการณ์หุ้น GameStop (GME) ปรับตัวขึ้นจากราคาประมาณ 17 ดอลลาร์เมื่อตอนต้นปีเป็น 325 ดอลลาร์ในวันศุกร์ที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 19 เท่าในเวลาเพียงเดือนเดียวนั้นเป็นข่าวที่ดังไปทั่วสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก และไม่ใช่เฉพาะในตลาดหุ้นเท่านั้น ถ้าย้อนหลังไปเพียง 1 ปี หุ้นตัวนี้มีราคาแค่ประมาณ 4 ดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับว่าคนที่ถือหุ้นตัวนี้จะได้กำไรถึง 80 เท่าในเวลาเพียง 1 ปี และมูลค่าตลาดของหุ้นขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 6.8 แสนล้านบาท จากมูลค่าประมาณ 8.5 พันล้านบาทเมื่อ 1 ปีก่อน
GME เป็นบริษัทขายปลีกวิดีโอเกมและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสาขาประมาณ 5,500 แห่งทั่วสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ในช่วงประมาณเกือบ 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทก็ขาดทุนมาตลอดเนื่องจากธุรกิจถูกดิสรัปต์ เพราะผู้บริโภคหันมาซื้อเกมออนไลน์แทนที่จะไปซื้อแผ่นที่ร้าน ราคาหุ้น GME เมื่อประมาณ 7 ปีก่อนที่อยู่ที่ประมาณ 55 ดอลลาร์ต่อหุ้นจึงตกต่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่เฮดจ์ฟันด์ขายชอร์ตหุ้นตัวนี้มาเรื่อยๆ จนถึงเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งทำให้มีรายการขายชอร์ตค้างอยู่ถึง ‘ร้อยกว่าเปอร์เซ็นต์’ ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท ซึ่งหมายความว่าหุ้นบางตัวถูกยืมมาขายมากกว่า 1 ครั้ง และคนที่ขายชอร์ตหุ้นตัวนี้ซึ่งมักจะเป็นเฮดจ์ฟันด์ผู้เชี่ยวชาญการชอร์ตหุ้นก็คงทำกำไรไปไม่น้อยมาตลอด
การระบาดของโควิด-19 เมื่อประมาณ 1 ปีที่ผ่านมาได้ก่อให้เกิด ‘นักลงทุนรุ่นใหม่’ จำนวนมากที่มาจากคนที่ตกงานและคนที่ต้องทำงานที่บ้าน พวกเขาไม่ค่อยได้ไปไหนและไม่มีงานทำมากนัก แต่ยังต้องการเงินเพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ในเวลาเดียวกันนั้นราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์กลับปรับตัวขึ้นแรงและเร็วมาก โดยได้อานิสงส์จากสภาพคล่องทางการเงินที่ล้นเหลือเนื่องจากการอัดฉีดของรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่ตามมาจากโควิด-19 ทำให้ดูเหมือนว่าการหาเงินจากตลาดหุ้นจะง่ายและเร็วกว่าการทำอย่างอื่น ดังนั้นคนหนุ่มสาวเหล่านี้จึงเข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นที่ทำได้ง่ายมาก เนื่องจากระบบที่เอื้ออำนวยให้กับนักลงทุนรายย่อย เช่น แพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้นอย่าง Robinhood ที่เสียค่าใช้จ่ายน้อยมาก ไม่ว่าจะซื้อหรือขายกี่หุ้น
คนหนุ่มสาวที่เข้ามาลงทุนหรือเล่นหุ้นนั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีความรู้หรือข้อมูลที่จะช่วยตัดสินใจซื้อขายหุ้นมากนัก แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็หวังที่จะเทรดหุ้นหรือออปชันที่มีราคาผันผวนมากๆ เพื่อให้ได้กำไรเร็วและมากที่สุด ดังนั้นสิ่งที่เขาทำก็คือการเข้าไปในเว็บไซต์ยอดนิยมอย่าง Reddit และเข้าไปดูหรือพูดคุยในห้องที่เกี่ยวกับการเทรดหรือซื้อขายหุ้นแนวเก็งกำไรที่ชื่อว่า WallStreetBets และสิ่งที่เขาพบเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาก็คือการพูดคุยคอมเมนต์หุ้นตัวหนึ่งที่ชื่อว่า GameStop ที่หลายคนมีความเห็นว่าน่าสนใจและน่าเล่น แต่สิ่งที่น่าจะเป็นตัวจุดชนวนให้หุ้นตัวนี้ระเบิดหรือราคาวิ่งทะลุฟ้าก็คือการที่มีคนออกมาโพสต์ว่าหุ้น GME นั้นมีการชอร์ตไว้เกินกว่าจำนวนหุ้นที่มีคือประมาณ 70 ล้านหุ้น และน่าจะประกอบกับการที่ ไรอัน โคเฮน อดีตผู้ก่อตั้งบริษัท Chewy ที่ขายปลีกสินค้าเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงผ่านช่องทางออนไลน์ได้สำเร็จได้เข้ามาซื้อหุ้นกว่า 10% จนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และได้เป็นกรรมการของบริษัทในวันที่ 11 มกราคม โดยเขาบอกว่าจะปรับให้ GME ขายออนไลน์แบบเดียวกัน
สิ่งที่คนใน WallStreetBets ซึ่งมีจำนวนสมาชิกถึง 3 ล้านรายบอกต่อๆ กันก็คือหุ้น GME ที่ไม่ได้ไปไหนเลยและทำให้รายย่อยที่เล่นขาดทุนหนักเป็นเพราะถูกพวกขาใหญ่หรือเฮดจ์ฟันด์ขายชอร์ตอย่างหนัก การที่จะต่อสู้หรือแก้แค้นกับคนพวกนี้ก็คือพวกเราต้องซื้อหุ้นและไม่ให้ใครยืม ซื้อไปเรื่อยๆ และเมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดหนึ่งคนที่ชอร์ตไว้ก็จะต้องมาซื้อหุ้นคืน แต่จะซื้อได้อย่างไรถ้าจำนวนหุ้นที่มีอยู่มีไม่พอ ผลก็คือราคาหุ้น GME ปรับตัวขึ้นไปเป็นร้อยๆ เปอร์เซ็นต์ต่อวัน และขึ้นไปเรื่อยๆ ภายในเวลา 10 วันหุ้นขึ้นไป 10 เท่า สิ่งนี้ในภาษาของชาวหุ้นก็คือการทำ ‘Short Squeeze’ คนที่ขายชอร์ตหุ้นไว้ต้องซื้อหุ้นคืนในราคาแพงขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อหนีตาย คนที่ขายชอร์ตหุ้นไปในราคา 30 ดอลลาร์อาจจะต้องซื้อคืนในราคา 300 ดอลลาร์ เรียกว่าเจ๊งไปตามๆ กัน กองทุนเฮดจ์ฟันด์บางกองต้องปิดตัวลง เซียนชอร์ตเซล เช่น Citron Research ซึ่งเคยสร้างชื่อไว้มากมายในการชอร์ตหุ้นและได้เข้ามาชอร์ต GME ด้วยก็เจ็บตัวอย่างหนักจนผู้บริหารบอกว่า ‘ขาดทุน 100%’ โดยรวมแล้วคนที่ทำชอร์ตหุ้น GME ขาดทุนไปประมาณ 1.5 แสนล้านบาท
ความสำเร็จของการต่อสู้ของนักเล่นหุ้นรายย่อยในกรณีของหุ้น GME เริ่มลามต่อไปในหุ้นตัวอื่นๆ ที่อาจจะมีคุณลักษณะคล้ายๆ กัน ตัวอย่างเช่น หุ้น AMC ที่ทำโรงหนังและหุ้นตกย่ำแย่เนื่องจากโควิด-19 ซึ่งผลก็คือหุ้นขึ้นจาก 5 เป็น 20 ดอลลาร์ในวันที่ 27 มกราคมที่ผ่านมา หรือเพิ่มขึ้น 4 เท่าในวันเดียว เช่นเดียวกับหุ้นอย่างผู้ผลิตโทรศัพท์ BlackBerry ที่เคยโด่งดังในอดีตก็กำลังปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น นอกจากนั้นข่าวล่าสุดจากตลาดหุ้นมาเลเซียก็คือมีคนตั้งห้องหุ้นเลียนแบบ WallStreetBets ชื่อว่า Bursabets เพื่อที่จะขับดันราคาหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่ม โดยเฉพาะผู้ผลิตถุงมือยางที่พวกเขาบอกว่าราคาหุ้นถูกเกินไป ผมไม่รู้ว่าในตลาดหุ้นไทยจะมีแบบนี้ไหม เพราะดูไปแล้วนักเล่นหุ้นรายย่อยของเราน่าจะมีฝีมือไม่แพ้นักเล่นหุ้นมาเลเซียในด้านของการเก็งกำไร
หลังเหตุการณ์ GME เพียงไม่กี่วัน จำนวนสมาชิก WallStreetBets เพิ่มขึ้นจาก 2 ล้านคนกลายเป็น 5 ล้านคน พวกเขาคุยกันถึงกำไรที่ได้มาง่ายๆ และมีความสุข คนตกงานที่มีลูกอ่อนและต้องกลับมาเลี้ยงลูกที่บ้านพูดว่า “วันนี้ได้เตียงใหม่ให้ลูก” เด็กอายุ 16 ปีใช้ชื่อพี่ชายซื้อขายหุ้นจนได้กำไรวันเดียวหลายหมื่นบาท และมีบางคนที่ถูกกล่าวขวัญถึงว่าทำเงินจาก 5 หมื่นดอลลาร์เป็น 22 ล้านดอลลาร์ และอีกวันก็เพิ่มขึ้นเป็น 48 ล้านดอลลาร์ เพราะถือหุ้น GME มาเป็นปี ทั้งหมดนี้พวกเขาคิดว่า ‘เราทำได้’ ไม่ใช่เฮดจ์ฟันด์หรือคนในวอลล์สตรีทฝ่ายเดียวที่จะรวยแบบง่ายๆ เพราะได้เปรียบและมีอภิสิทธิ์เหนือประชาชน
แน่นอนว่าคนดังจำนวนมากต่างก็เข้ามาเกาะกระแส อีลอน มัสก์ ออกมาเชียร์ว่ารายย่อยเหล่านี้โคตรเจ๋ง มันคงคล้ายๆ กับหุ้น Tesla ที่โดนกองทุนและรายใหญ่ขายชอร์ตก่อนที่จะต้องเจ๊ง เพราะหุ้น Tesla ขึ้นเอาๆ จนมัสก์กลายเป็นคนที่รวยที่สุดในโลก หลังจากคอมเมนต์ของมัสก์ออกไป หุ้น GME ก็วิ่งขึ้นไปอีก 100% ทางฝ่ายการเมืองเองนั้น เอลิซาเบธ วอร์เรน ผู้นำของสมาชิกวุฒิสภาพรรคเดโมแครต ก็ออกมาเชียร์สนับสนุนเม่าทั้งหลายว่าไม่ได้ทำอะไรผิด
ในอีกซีกหนึ่งก็คือผู้นำและฝ่ายคุมกฎที่เป็นเจ้าหน้าที่รวมถึงผู้เล่นรายใหญ่ ซึ่งก็คือผู้บริหารกองทุนทั้งหลายต่างก็ออกมาโจมตีและกล่าวโทษว่ากรณีของ GME นั้นอาจจะมีการแฮ็กข้อมูลหรือมีการร่วมกันปั่นหุ้นที่ผิดกฎของตลาด จะต้องมีการตรวจสอบและเอาผิดตามกฎหมาย มิฉะนั้นตลาดหลักทรัพย์ก็จะหมดความน่าเชื่อถือ และจะไม่สามารถเป็นแหล่งระดมทุนที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไม่ก้าวหน้าอย่างที่ควรจะเป็น แต่เอาเข้าจริงๆ ก็คงเอาผิดได้ยากกับคนเป็นล้าน
กรณี GME ยังสะท้อนให้เห็นถึงการแตกแยกทางความคิดระหว่างคนหนุ่มสาวที่มักเป็นคนด้อยกว่าในสังคมที่มักจะถูกกดขี่ ถูกเอารัดเอาเปรียบโดยคนสูงอายุกว่า มีอำนาจกว่า และมีความโลภมากกว่า ที่พวกเขาทำอะไรก็ไม่ผิดเพราะอาศัยกฎหมาย กฎเกณฑ์ รวมถึงการตีความจากฝ่ายเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ในขณะที่เฮดจ์ฟันด์ขาใหญ่สามารถรวมหัวกันชอร์ตเซลแล้วออกมาป่าวประกาศว่าหุ้นตัวนั้นจะต้องลงเพราะเหตุผลต่างๆ รวมถึงการที่นักวิเคราะห์ช่วยกันแนะนำให้ขายหุ้นโดยไม่มีความผิด แต่พอนักลงทุนรายย่อยปรึกษากันในเว็บไซต์กลับถูกข่มขู่ว่าจะถูกเล่นงาน เป็นต้น ดังนั้นนี่เป็นเวลาที่คนตัวเล็กๆ จะต้องรวมพลังผ่านสื่อสังคมเพื่อตีโต้กลับ และเราจะต้องเป็นฝ่ายชนะ!
และทั้งหมดนั้นก็คือกระแสของโลกยุคใหม่ที่จะมีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในทุกด้าน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และตลาดหุ้น ทุกคนจะมีความเท่าเทียมกันมากขึ้น มีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น คนตัวเล็กทุกคนจะมีความหมายด้วยการรวมพลังผ่านสื่อที่ทรงประสิทธิภาพ นั่นก็คืออินเทอร์เน็ตที่จะสามารถล้ม ‘ระบบเก่า’ ที่เป็นอยู่มาช้านานได้