×

ผลการศึกษาศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคจีนชี้ อาจมีผู้เคยติดโควิด-19 ในอู่ฮั่นถึงเกือบ 5 แสนคน

30.12.2020
  • LOADING...

ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคของจีน (CDC) เปิดเผยผลการศึกษาใหม่จากการสุ่มตรวจหาแอนติบอดี้ต้านโควิด-19 ในเลือดของกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอาจมีผู้เคยติดเชื้อโควิด-19 ในนครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ถึงเกือบ 5 แสนคน หรือเกือบ 10 เท่าของจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอย่างเป็นทางการที่คณะกรรมการสาธารณสุขของเมืองอู่ฮั่นเปิดเผยออกมา

 

CDC เผยแพร่ผลการศึกษานี้ในสื่อสังคมออนไลน์เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยระบุว่าการศึกษาดังกล่าวทำเมื่อ 1 เดือนหลังจากจีนควบคุมการระบาดรอบแรกได้แล้ว โดยการสุ่มตัวอย่างประชากรมา 34,000 คนจากเขตการปกครองต่างๆ ได้แก่ เมืองอู่ฮั่นในมณฑลหูเป่ยซึ่งเป็นศูนย์กลางการระบาด, เมืองอื่นๆ ในมณฑลหูเป่ย, นครปักกิ่ง, นครเซี่ยงไฮ้, มณฑลกวางตุ้ง, มณฑลเจียงซู, มณฑลเสฉวน และมณฑลเหลียวหนิง เพื่อศึกษาอัตราการติดเชื้อในหมู่ประชากร โดยทำการทดสอบตัวอย่างน้ำเหลืองของเลือด (Blood Serum) จากกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้เพื่อหาแอนติบอดี้ต้านเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ซึ่งแอนติบอดี้ก็คือสารภูมิต้านทานที่ร่างกายของมนุษย์สร้างขึ้นมาต่อสู้เมื่อมีเชื้อหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายนั่นเอง

 

ผลการศึกษาพบว่าในกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้อาศัยในเมืองอู่ฮั่น มีอัตราการพบแอนติบอดี้อยู่ที่ 4.43% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งเมืองอู่ฮั่นมีประชากรอยู่ราว 11 ล้านคน นั่นหมายถึงมีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ที่เคยติดเชื้อโควิด-19 ถึงเกือบ 5 แสนคน หรือเกือบ 10 เท่าของตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอย่างเป็นทางการรวม 50,354 รายที่รายงานโดยคณะกรรมการสาธารณสุขของเมืองอู่ฮั่น แต่ทว่าเมื่อตรวจสอบอัตราการพบแอนติบอดี้ในเมืองอื่นๆ ในมณฑลหูเป่ย พบว่าอัตราการพบแอนติบอดี้อยู่ที่เพียง 0.44% และสำหรับกลุ่มตัวอย่างราว 12,000 คนนอกมณฑลหูเป่ยแล้ว มีเพียง 2 รายเท่านั้นที่พบแอนติบอดี้ อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาดังกล่าวไม่สามารถนำไปใช้เป็นสถิติขั้นสุดท้ายของจำนวนผู้ติดเชื้อในพื้นที่ที่กล่าวมาได้

 

หวงเหยียนจง นักวิจัยอาวุโสด้านสาธารณสุขระดับสากลของสภาความสัมพันธ์กับต่างประเทศ (CFR) ซึ่งเป็นสถาบันคลังสมองอิสระในสหรัฐอเมริกา ระบุว่าการศึกษานี้ชี้ให้เห็นถึงปัญหาการรายงานยอดผู้ติดเชื้อที่ต่ำกว่าความเป็นจริงในช่วงที่มีการระบาดสูงสุดในเมืองอู่ฮั่น ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความสับสนวุ่นวายในเวลานั้น และความล้มเหลวในการนับรวมกรณีผู้ติดเชื้อที่ไม่แสดงอาการเข้าไว้ในจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอย่างเป็นทางการ 

 

สำนักข่าว CNN ระบุว่าช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์เป็นช่วงที่โรงพยาบาลในเมืองอู่ฮั่นมีผู้ป่วยที่มีไข้เป็นจำนวนมาก แต่ขาดทรัพยากรบุคคล ชุดทดสอบ ตลอดจนทรัพยากรทางการแพทย์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยเหล่านี้ ผู้ป่วยบางส่วนถูกบอกให้กลับบ้านและแยกตัวเองจากคนอื่นๆ และบางรายก็นำเชื้อไปแพร่ให้กับสมาชิกในครอบครัว และบางรายเสียชีวิตที่บ้านโดยไม่ถูกนับรวมในยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19

 

ทว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นแค่เพียงในจีนเท่านั้น การรายงานสถิติต่ำกว่าความเป็นจริงเกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกจากการขาดแคลนทรัพยากร และการศึกษาแอนติบอดี้โดยนักวิจัยในหลายส่วนของโลกก็บ่งบอกว่าการระบาดของโควิด-19 นั้นแพร่หลายมากกว่าตัวเลขของทางการที่ระบุเอาไว้ อาทิ ผลการศึกษาหนึ่งที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขของรัฐนิวยอร์กชี้ว่า เมื่อสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา 1 ใน 7 ของผู้ใหญ่ชาวนิวยอร์กเคยติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งสถิตินี้สูงกว่าตัวเลขผู้ติดเชื้ออย่างเป็นทางการถึง 10 เท่า และในเดือนสิงหาคมก็มีการศึกษาที่พบว่าในหมู่ชาวนิวยอร์กกว่า 1.5 ล้านคนที่เข้ารับการทดสอบนั้นพบผู้ที่มีแอนติบอดี้มากกว่า 27% ของคนกลุ่มนี้

 

อย่างไรก็ตาม ความโปร่งใสเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลในจีนก็ยังเป็นสิ่งที่ถูกตั้งคำถาม โดย CNN ระบุว่าได้รับเอกสารจากแหล่งข่าวรายหนึ่งซึ่งเป็นเอกสารของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคมณฑลหูเป่ย เอกสารดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการวินิจฉัยทางคลินิกเป็นการภายใน แต่ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ รวมถึงมีการรายงานยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตน้อยกว่าที่บันทึกไว้เป็นการภายในด้วย นอกจากนี้ยังมีกรณีของผู้สื่อข่าวอิสระที่ถูกคุมตัวหรือถูกพิพากษาจำคุกจากการรายงานข่าวเกี่ยวกับการระบาดของโควิด-19 ด้วย

 

อีกด้านหนึ่ง หวงเหยียนจงก็ระบุว่าอัตราการพบแอนติบอดี้ที่ต่างกันอย่างมากระหว่างในและนอกเมืองอู่ฮั่นก็แสดงให้เห็นว่าความพยายามในการจำกัดการระบาดของจีนนั้นรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเมืองต่างๆ เช่น นิวยอร์ก ซึ่งรายงานของ CDC เองก็ระบุว่านี่เป็นความสำเร็จในการควบคุมโรคระบาดโดยมีเมืองอู่ฮั่นเป็นสนามรบหลัก และยังควบคุมการแพร่ระบาดในวงกว้างได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน

 

เมื่อย้อนกลับไป เมืองอู่ฮั่นเองถูกล็อกดาวน์ยาวนานราว 2 เดือนครึ่งตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม ระบบขนส่งสาธารณะถูกระงับ ธุรกิจถูกปิดชั่วคราวและผู้คนต้องอยู่ในบ้านหรือในชุมชนที่อยู่อาศัยของตนเอง แม้แต่การออกมาซื้อของตามร้านขายของชำก็ถูกห้ามในบางกรณี ซึ่งก็เป็นปัญหาสำหรับผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ต้องการเดินทางไปโรงพยาบาล แต่ไม่สามารถหารถสาธารณะได้ และแท็กซี่ก็มีไม่เพียงพอ แต่รัฐบาลจีนระบุว่ามาตรการที่เข้มงวดดังกล่าวทำให้จีนผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดในการต่อสู้กับโรคระบาดมาได้

 

 

พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X