วันนี้ (17 ตุลาคม) สืบเนื่องจากการใช้กำลังตำรวจของไทยเพื่อสลายการชุมนุม รวมทั้งการใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารระคายเคืองและสีย้อม มิงยู ฮาห์ รองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคฝ่ายรณรงค์ แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า
“การใช้กำลังเกินกว่าเหตุเพื่อสลายการชุมนุมโดยสงบเมื่อคืนเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม และไม่สอดคล้องอย่างสิ้นเชิงกับหลักการตามกฎหมายที่ได้รับการยอมรับ ในหลักการความจำเป็นและหลักการที่ได้สัดส่วนอย่างที่ทางการไทยอ้าง
“การใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงที่ผสมสารระคายเคืองและสีย้อมไม่เพียงอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ การใช้สีผสมในน้ำยังเป็นการกระทำที่ไม่เลือกเป้าหมาย และอาจนำไปสู่การพุ่งเป้าเพื่อจับกุมโดยพลการต่อผู้ชุมนุมโดยสงบ ผู้สื่อข่าว และผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ ซึ่งอาจถูกน้ำฉีดใส่จนเปื้อนสี
“ในการควบคุมการชุมนุม ทางการไทยควรเคารพ คุ้มครอง และประกันการใช้สิทธิมนุษยชนของผู้จัดการชุมนุมและผู้เข้าร่วม รวมทั้งยังต้องประกันความมั่นคงปลอดภัยของผู้สื่อข่าว ผู้สังเกตการณ์การชุมนุม และประชาชนทั่วไปที่ร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมด้วย
“เราขอเรียกร้องทางการไทยให้ปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศของตน และอำนวยความสะดวกในการใช้สิทธิในเสรีภาพการชุมนุมโดยสงบ ทางการไทยต้องอนุญาตให้ผู้ชุมนุมโดยสงบสามารถแสดงความคิดเห็นของตน โดยต้องไม่ทำให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มมากกว่านี้”
โดยก่อนจะมีการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ในเวลา 17.00 น.ของวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ตุลาคม) ซึ่งเป็นการชุมนุมต่อเนื่องจากวันก่อน ที่มีผู้เข้าร่วมในบริเวณเดียวกันประมาณ 10,000 คน ตำรวจได้สั่งปิดถนน ติดตั้งแนวกั้น และติดตั้งลวดหนามหลายชั้น เพื่อขัดขวางไม่ให้ประชาชนมาชุมนุมอย่างสงบได้อีกในบริเวณสี่แยกใจกลางกรุงเทพฯ
ส่งผลให้ผู้ชุมนุมประกาศย้ายจุดชุมนุมมาอีกที่แยกหนึ่ง บริเวณสี่แยกปทุมวัน ในช่วงค่ำตำรวจได้ใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงหลายครั้งเพื่อพยายามสลายการชุมนุม ซึ่งคาดว่ามีผู้เข้าร่วมหลายพันคน
จากคำแถลงของโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ประท้วง 7 คนถูกจับและถูกควบคุมตัว โฆษกยังยืนยันว่า น้ำที่ฉีดผสมสารระคายเคืองและสีน้ำเงิน “เพื่อระบุตัวผู้ประท้วงที่จะถูกดำเนินคดีต่อไป”
ในวันเดียวกัน กิตติ พันธภาค ผู้สื่อข่าวของสำนักข่าวประชาไท ถูกจับ ถูกยึดอุปกรณ์ ถูกควบคุมตัว (และถูกปล่อยตัวในเวลาต่อมา) ทั้งนี้ ตามแถลงการณ์ของประชาไท
ในวันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม ทางการไทยประกาศห้ามการชุมนุมของบุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเป็นเวลา 30 วัน ในเขตกรุงเทพฯ คำสั่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อยุติการชุมนุมที่เกิดเพิ่มขึ้น ประกาศดังกล่าวยังห้ามการตีพิมพ์เผยแพร่ข่าวสารหรือข้อความออนไลน์ที่ ‘อาจทำให้เกิดความหวาดกลัว’ ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ หรือกระทบต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เห็นว่าเป็นประกาศที่ ‘รุนแรง’ และเน้นย้ำข้อเรียกร้องต่อทางการให้ปล่อยตัวผู้ชุมนุม และให้ยกเลิกมาตรการจำกัดเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมอย่างสงบโดยพลการ
ภาพ: ฐานิส สุดโต / THE STANDARD
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- Amnesty International