วันนี้ (7 ตุลาคม) ออง ยี กุง รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคมของสิงคโปร์ เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า สิงคโปร์จะจัดตั้งห้องปฏิบัติการทดสอบโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ภายในท่าอากาศยานชางงี (Changi Airport) ในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการเปิดพรมแดนต้อนรับนักเดินทางชาวต่างชาติและฟื้นฟูอุตสาหกรรมการบิน
ออง ยี กุง กล่าวว่า การทดสอบเพื่อตรวจโรคโควิด-19 เป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกการเดินทางทางอากาศ พร้อมคาดการณ์ว่าโรคโควิด-19 จะคงอยู่ไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง และแนวปฏิบัติใหม่ระหว่างประเทศคือการตรวจโรคให้นักเดินทางก่อนขึ้นเครื่องบิน
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ชี้ว่า สิงคโปร์สามารถเปิดพรมแดนได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้มาตรการกักกันตัว 14 วัน แต่ใช้วิธีตรวจโรคแทน โดยขณะนี้สิงคโปร์มีความสามารถตรวจโรคอยู่ที่ 27,000 คนต่อวัน และคาดว่าจะสูงแตะ 40,000 คนต่อวัน ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
นอกเหนือจากช่องทางด่วน ซึ่งจำกัดเฉพาะผู้เดินทางที่เป็นทางการและนักธุรกิจแล้ว สิงคโปร์ยังวางแผนจัดตั้งระเบียงท่องเที่ยวทางอากาศ (Air Travel Bubble) หรือการจับคู่ด้านการท่องเที่ยวของกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงโรคโควิด-19 ระดับต่ำร่วมกับประเทศและภูมิภาคที่มีระบบเฝ้าระวังทางสาธารณสุขอันครอบคลุมและอัตราการติดเชื้อต่ำ โดยระเบียงท่องเที่ยวทางอากาศจะเปิดให้บริการสำหรับทุกคน แต่พวกเขาจำเป็นต้องยื่นขอบัตรผ่านการเดินทางทางอากาศก่อนออกเดินทาง
ปัจจุบันท่าอากาศยานชางงีรองรับผู้โดยสารเพียงร้อยละ 1.5 ของปริมาณผู้โดยสารปกติในช่วงก่อนเกิดโรคระบาดใหญ่ และเปิดให้บริการเที่ยวบินร้อยละ 17 ของจำนวนเที่ยวบินทั้งหมด ทั้งยังตกจากอันดับ 7 ของโลกลงไปอยู่อันดับ 58 ด้านท่าอากาศยานที่มีการหมุนเวียนของผู้โดยสารพลุกพล่านมากที่สุดด้วย
“เราจำเป็นต้องดำเนินการเชิงรุกเพื่อฟื้นฟูศูนย์กลางการบินชางงี ซึ่งถือเป็นพันธกิจสำคัญสุดของชาติ” ออง ยี กุงกล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
- สำนักข่าวซินหัว