การชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ของคณะประชาชนปลดแอก ได้ยุติลงเมื่อเวลาประมาณ 22.40 น. หลังนัดหมายเริ่มต้นทำกิจกรรมตั้งแต่เวลา 15.00 น. โดยมีนักเรียน นิสิต นักศึกษา ประชาชน ซึ่งมาจากหลากหลายวงการเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก กินพื้นที่การทำกิจกรรมโดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยยาวจรดไปถึงแยกคอกวัว โดยกลุ่มคนที่มาร่วมกิจกรรมใช้บริการสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็นเรือ รถไฟฟ้าใต้ดิน หรือบริการจาก Grab มุ่งหน้ามาตั้งแต่ก่อนเวลาเริ่มกิจกรรม เพื่อรวมตัวแสดงพลังและประกาศจุดยืนทางการเมืองผ่าน 3 ข้อเรียกร้อง 2 จุดยืน และ 1 ความฝัน คือ
- รัฐบาลต้อง ‘หยุดคุกคามประชาชน’ ที่ออกมาใช้สิทธิและเสรีภาพตามหลักประชาธิปไตย
- รัฐบาลต้อง ‘ร่างรัฐธรรมนญูใหม่’ ที่มาจากเจตนารมณ์ของประชาชน เพื่อประโยชน์แก่สาธารณชนอย่างแท้จริง
- รัฐบาลต้อง ‘ยุบสภา’ เพื่อเป็นการเปิดทางให้ประชาชนสามารถแสดงเจตจำนงในการเลือกผู้แทนของตนได้อีกครั้ง
2 จุดยืน ได้แก่
- ต้องไม่มีการทำรัฐประหาร
- ต้องไม่มีการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ
1 ความฝัน คือการมีระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง
“ผมในฐานะตัวแทนของคณะประชาชนปลดแอก ขอบคุณทุกคนที่มาร่วมทวงคืนประชาธิปไตย อนาคตที่ดีของประเทศนี้ให้กลับมาอยู่ในมือของพวกเรา ถ้าในเดือนกันยายนไม่มีการตอบสนองใดๆ จากรัฐบาล ที่เป็นผลบวกกับข้อเรียกของเราทั้ง 3 ข้อ เราจะยกระดับการชุมนุมต่อไป และจะกลับมาพบกันอีกที่นี่” ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี แกนนำคณะประชาชนปลดแอก กล่าวปิดท้าย
ขณะที่ภายในงานมีการจัดกิจกรรมปราศรัยสลับกับการแสดงศิลปะทั้งบนเวทีและพื้นถนน โดยช่วงหนึ่งศิลปินวงสามัญชนขึ้นเล่นดนตรีคั่นระหว่างการปราศรัยของแกนนำ ก่อนการเล่นดนตรีได้กล่าวขอบคุณผู้ใหญ่ทุกคนที่มาร่วมชุมนุมเคียงข้างกับนิสิต นักศึกษาในวันนี้ พร้อมขอบคุณคนเสื้อแดงที่อดทนกับการคุกคามและมายืนเคียงข้าง รวมถึงปรบมือให้กำลังใจผู้ลี้ภัยทางการเมืองทุกคน
จากนั้นศิลปินวงสามัญชนชวนผู้ชุมนุมทุกคนเปิดไฟฉายโทรศัพท์มือถือโบกมือตามจังหวะเพลง แสงไฟทอดยาวจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปทั่วถนนราชดำเนิน
ปรากฏการณ์เมื่อวานนี้ นอกเหนือจากการชุมนุมครั้งใหญ่ของกลุ่มประชาชน ณ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บรรยากาศบนสื่อโซเชียลอย่าง Twitter ก็มีผู้ใช้งานจำนวนมากร่วมบอกเล่าและพูดคุยถึงความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการชุมนุม
ผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านแฮชแท็ก #ขีดเส้นตายไล่เผด็จการไม่น้อยกว่า 3.2 ล้านครั้ง ซึ่งกลายเป็นเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่งของไทยในช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่ความคิดเห็นส่วนใหญ่มีทิศทางในการให้กำลังใจผู้เข้าร่วมชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ของรัฐบาลที่มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และบอกเล่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในที่ชุมนุม รวมถึงตอกย้ำหลักการเคลื่อนไหว 3 ข้อเรียกร้อง 2 จุดยืน และ 1 ความฝัน
เวลาประมาณ 21.00 น. วงดนตรี The Bottom Blues ทำเซอร์ไพรส์ผู้เข้าร่วมชุมนุมด้วยการขึ้นแสดงบนเวทีชุมนุมของคณะประชาชนปลดแอก ซึ่งเริ่มแสดงด้วยเพลง Made in Thailand ของวงคาราบาว โดยมีการแปลงเนื้อร้องให้เปลี่ยนไปในเชิงเสียดสีเรื่องการเมือง
ในช่วงหนึ่งของการแสดง แอมมี่-ไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ นักร้องนำของวง ระบุว่า “ถ้าวันหนึ่งผมหายไป ผมอยากให้ทุกคนรู้ไว้ว่าผมดีใจมากที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ได้ทำและได้พูดในสิ่งที่ผมคิดว่ามันถูกต้อง”
ทั้งนี้ แอมมี่ The Bottom Blues ถือเป็นอีกหนึ่งศิลปิน-ดาราที่ออกมา Call Out เรียกร้องประชาธิปไตยและเรียกร้องให้หยุดการคุกคามประชาชนที่มีความเห็นต่าง
ช่วงหนึ่งมีตัวแทนกลุ่มขอนแก่นพอกันทีได้ขึ้นปราศรัยวิจารณ์รัฐบาลและกระบวนการยุติธรรม ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของการชุมนุม #ขีดเส้นตายไล่เผด็จการ ที่เรียกเสียงปรบมือและความสนใจจากมวลชนได้อย่างมาก
กระทั่งก่อนยุติการชุมนุม ได้มีการแสดงละคร ปีศาจ สะท้อนภาพปัญหาในสังคม จากบทประพันธ์ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ โดยผู้แสดงแต่งชุดเลียนแบบอาชีพต่างๆ เช่น ทหาร นักการเมือง ผู้พิพากษา ซึ่งเนื้อหาของละครบางช่วงได้กล่าวถึงเรื่องราวที่กำลังเป็นประเด็นในสังคม ทั้งคดีบอส อยู่วิทยา ทายาทเครื่องดื่มชูกำลัง ขับรถชนตำรวจจนเสียชีวิต, กรณีบ้านพักผู้พิพากษาที่สร้างในพื้นที่ป่าหรือบ้านป่าแหว่ง และสะท้อนถึงการรับสินบนในกรณีต่างๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
“ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัว และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้ได้ เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่จะสร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที” คำพูดของพระเอกของเรื่องที่พูดก่อนจบการแสดง เปรียบเปรยตัวเองไว้ว่าเป็นปีศาจ
สำหรับบทละคร ปีศาจ ที่ผู้ประพันธ์ได้ให้ความหมายไว้คือ เป็นเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างความเชื่อในสังคมเก่าหรือสังคมของผู้รากมากดี กับสังคมใหม่หรือสังคมเสรีที่เชื่อในสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกันของคนในสังคม ‘ปีศาจ’ จึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของความจริงที่หลอกหลอนคนในสังคมเก่า และในขณะเดียวกันปีศาจตนนี้ก็ไม่ได้สยบยอมให้กับความฉ้อฉลเอารัดเอาเปรียบที่มีอยู่ในสังคมใหม่เช่นกัน
จากนั้น อานนท์ นำภา ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีการชุมนุมว่า พวกเราผ่านการต่อสู้ไม่นานมาก ขบวนการนักศึกษาได้ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว มีนักศึกษาหลายคนถูกจับกุม ภายหลังที่ออกมาต่อสู้ อานนท์กล่าวถึง เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่มีความกล้าหาญ ใช้ชีวิตของเขาดันเพดานการเรียกร้องให้พวกเรา เวลานี้ทุกคนกำลังถูกใช้อำนาจมืดในการกดดันให้มีการออกหมายจับ หมายค้น เพื่อดำเนินการกับเรา โดยขอให้เลือกข้างว่าจะอยู่ข้างประชาธิปไตยหรือเผด็จการ ขอให้ระลึกถึงผู้พิพากษาที่ชื่อ คณากร เพียรชนะ เขาคือผู้พิพากษาที่ยืนอยู่ข้างประชาชน ใช้ชีวิตยืนยันว่าต่อให้สูงขนาดไหนก็สั่งเขาไม่ได้
อานนท์กล่าวว่า ณ นาทีที่ผมพูดอยู่นี้มีพรรคการเมืองที่พร้อมลงชื่อให้มีการแก้รัฐธรรมนูญใหม่ ขอเสียงปรบมือให้พรรคการเมืองเหล่านั้น แต่อย่าเพิ่งดีใจ เพราะสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ยังไม่น่าเชื่อใจ และไม่มีสิทธิมาพูด ต้องเลือกสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาแก้เท่านั้น โดยมาจากกลุ่มหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นนิสิต นักเรียน นักศึกษา ขอให้ทุกคนปรบมือให้พรรคการเมืองที่ยอมคุกเข่าให้เผด็จการ ลุกขึ้นยืนเคียงข้างประชาชน และประชาชนจะสนับสนุนพรรคการเมืองที่ยืนขึ้นมา
.
อานนท์กล่าวต่อว่า ข้อเรียกร้องเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม ได้ถูกประกาศและขานรับจากประชาชนทั่วประเทศแล้ว น้องๆ หลายคนที่ประกาศถูกไล่จับถึงหอพัก แต่พวกเขาไม่เสียใจที่เป็นหินก้อนแรกในเรื่องนี้ พวกเราต้องช่วยกันปกป้องพวกเขา ถ้าหากเป็นอะไร พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพวก จะไม่มีที่ยืนในแผ่นดินนี้
“ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ที่ให้อยู่คู่สังคมไทย อยู่เหนือการเมือง เขาขอให้พวกเราหยุดฝัน ผมขอประกาศว่า พวกเราจะฝันต่ออย่างเเน่นอน และจะเผยแพร่ความฝันนี้ไปทั่วประเทศ เพื่อให้มาร่วมฝันกับพวกเรา ความฝันที่อยากเห็นสถาบันกษัตริย์อยู่คู่สังคมไทย อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ อยู่เหนือการเมือง เราจึงเรียกร้องให้สถาบันกษัตริย์มาร่วมฝันกับเรา เพื่อให้เราได้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง”
หลังคณะประชาชนปลดแอกประกาศยุติการชุมนุม แกนนำนักศึกษาทั้ง 31 คน ที่มีชื่อเป็นผู้ต้องหาในการจัดชุมนุมเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ได้เดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมุ่งหน้าไปที่สถานีตำรวจ (สน.) สำราญราษฎร์ เพื่อทวงถามความชัดเจนว่า มีใครถูกหมายจับแล้วบ้าง หลังมีรายงานข่าวว่าในจำนวนนี้มี 15 คน มีหมายจับแล้ว
ก่อนที่ในเวลาต่อมาจะเดินทางออกจาก สน.สำราญราษฎร์ เนื่องจากไปแสดงตัวต่อตำรวจแล้วไม่มีการดำเนินการตามกฎหมายแต่อย่างใด ก่อนที่จะให้ทนายความเข้าสอบถามความชัดเจน และเมื่อไม่มีความชัดเจนจึงแยกย้ายกลับ และรอฟังคำตอบข้อเรียกร้องจากรัฐบาล ส.ว. ต่อไป
ภาพ: ฐานิส สุดโต, ชาติกล้า สำเนียงแจ่ม, ศวิตา พูลเสถียร, ศักดิภัท ประพันธ์วรคุณ