ชื่อของ อาเล็ก-ธีรเดช เมธาวรายุทธ เป็นชื่อที่เราได้ยินอยู่เสมอในช่วงเวลาหลายๆ ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับส่วนหนึ่งว่าเขาเป็นหนุ่มฮอตที่เราได้เห็นเขาบนจออยู่เสมอทั้งในโฆษณา หรือบนโลกยูทูบที่เขาทำรายการเป็นของตัวเอง แม้ผลงานการแสดงของเขาจะยังเป็นกราฟระดับกลางๆ แต่จุดยืนในวงการบันเทิงของเขาก็เป็นเรื่องน่าสนใจ ทั้งการเป็นพระเอก เป็นนักแสดงที่ไม่ค่อยมีข่าวเสียๆ หายๆ และเขาก็ดูเป็นคนมองโลกในแง่ดีเหลือเกิน
THE STANDARD POP หาโอกาสนั่งคุยกับเขาอย่างจริงจัง เปิดใจสักครั้ง เพื่อทบทวนชีวิตในวงการบันเทิงกว่า 8 ปีที่ผ่านมา ทั้งชื่อเสียงที่ได้รับมาตลอดเวลานั้น เป็นเรื่องของความสามารถ โชคดี ดวงดี หรือเป็นเรื่องของความบังเอิญ
ชีวิตของอาเล็ก ธีรเดช ระหว่างกักตัว
ช่วงกักตัวหรอครับ อืม (นิ่งคิด) ก็เครียดนะครับ แต่สิ่งที่เครียดหลักๆ ก็คือเรื่องชีวิต เรื่องงาน เพราะว่าเราตอนนั้นไม่มีไอเดียเลยว่าเราจะได้กลับไปทำงานเมื่อไร แล้วสำหรับตัวผมเอง คือก่อนหน้านั้นเราทำงานตลอดเวลา พอหยุดมันก็เป็นช่วงที่ทำให้เราได้พัก แต่ว่าเป็นการพักที่ไม่ได้สบายใจสักเท่าไรนะ แต่ได้อยู่กับพ่อแม่มากขึ้น ได้อยู่บ้านมากขึ้น
ผมสร้างบ้านเสร็จมา 4 ปี ไม่เคยมีมุมของตัวเองเลย มีอย่างเดียวที่ใช้คือเตียง เพราะว่ากลับบ้าน นอน ตื่น ทำงาน เป็นอย่างนี้ตลอด แล้วเป็นคนไม่ติดบ้าน วันว่างก็หาเรื่องออกจากบ้าน แต่ช่วงกักตัวเป็นครั้งแรกที่เราได้นั่งดูทีวี ได้นั่งดูซีรีส์ ทำให้เรามีนิสัยติดบ้านเพิ่มขึ้นมา แล้วก็ประหยัดขึ้นเยอะเลย
ผลงานใหม่ของคุณที่ชื่อ ‘ดวงแบบนี้ไม่มีจู๋’ ที่ดูเหมือนว่าชื่อละครเรื่องนี้จะเรียกร้องความสนใจจากผู้ชมได้พอสมควร
จริงๆ แล้วถ้าพูดชื่อละครว่า ‘ดวงแบบนี้ไม่มีจู๋’ คนก็คงสงสัยว่าละครอะไรนะ (หัวเราะ) ทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่าดวงจู๋อยู่แล้ว คือเรื่องนี้จะเล่นกับความเชื่อของนางเอกที่งมงายในเรื่องของความเชื่อ ไสยศาสตร์ คืองมงายเลยแล้วก็ไม่ขวนขวายในเรื่องการตั้งใจทำงานของตัวเอง ส่วนตัวละครของผมก็คือจะเป็นคนที่ไม่เอาเรื่องดวงเลย ฉันต้องทำให้ดี ฉันต้องตั้งใจชีวิตถึงจะดี จนสองคนนี้มาเจอกัน
อาเล็ก ธีรเดช และ มิ้นต์ ชาลิดา ภาพจากละครเรื่อง ดวงแบบนี้ไม่มีจู๋
แล้วตัวคุณเองเป็นคนเชื่อเรื่องดวงมากน้อยแค่ไหน
มันไม่ใช่ไม่เชื่ออะ มันจะเชื่อก็เชื่อ จะไม่เชื่อก็ไม่เชื่อ แต่ว่าที่บ้านผมเองไม่ใช่สายมู แต่ว่าทำบุญเข้าวัดนะ และไม่ได้พาลูกไปดูดวง พาพ่อแม่ไปดูดวงอะไร แต่ถามว่าตัวเล็กเอง ผมเป็นคนที่ไม่เคยไปดูดวงนะ ไม่เคยดูไพ่ ไม่เคยอะไรเลย แต่ก็จะมีคนมีเซนส์มาทัก หรือพระทัก ถ้าเกิดทักเรื่องดีเราก็จะเก็บเป็นกำลังใจ แต่ถ้าเกิดทักว่าไม่ดีเราก็จะถือเป็นคำเตือนอะไรอย่างนี้ มันก็ทำให้เราฟัง ไม่ใช่เราไม่ฟัง แต่ว่าฟังเพื่อจัดการกับสารที่เรารับมาอย่างไรมากกว่า
อาเล็กกับงานคอเมดี้อีกครั้ง คุณต้องเตรียมตัวทำการบ้านมากแค่ไหน
และสำหรับละครเรื่องนี้ จริงๆ ทุกเรื่องผมต้องทำการบ้านใหม่หมดเลยอยู่แล้ว แต่ว่ามันจะขึ้นอยู่กับว่าตัวละครแต่ละตัวมีพาร์ตที่เป็นตัวเราเยอะหรือน้อย หมายถึงว่าเราสามารถเอาสิ่งที่เป็นอาเล็กไปเป็นนิสัยของตัวละครได้บ้างหรือเปล่า ซึ่งในเรื่องนี้มีนิสัยหลายๆ อย่างของเราที่สอดคล้องกับตัวละคร ‘โชค’ พอดี
คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ได้คิดว่าตัวเองอยากจะเป็นนักแสดง แล้วตอนนี้เริ่มสนุกไปกับมันหรือยัง
ก็ยังรู้สึกตั้งแต่เด็กว่าไม่ได้คิดจะมาเป็นนักแสดงจริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังคิดอย่างนั้นอยู่ สำหรับตัวผมเองมันคือโชคชะตาพาเรามาทางนี้ ชีวิตพาเรามาทางนี้ เราไม่ได้พาตัวเองมา ชีวิตพาเรามาโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเป็นโชคดีจริงๆ แต่เข้าวงการมา 8 ปีมันไม่ได้มีแต่โชคดี มันมีเรื่องไม่ดีอยู่ แต่ความโชคดีอีกชั้นคือ เราเป็นคนมองโลกในแง่ดี ผมก็เลยพยายามมองหาข้อดีในเรื่องไม่ดี
ดวงกับโชคต่างกันไหมในความคิดคุณ ดวงอาจจะเป็นเรื่องที่เรามองไม่เห็น แต่โชคอาจหมายถึงเรื่องความบังเอิญหรือเปล่า?
อืม ที่ชีวิตยืนมาถึงวันนี้ น่าจะเป็นเรื่องโชคกับความเป็นตัวเรา กับการทำตัวของเรา เล็กว่าเรื่องโชคเนี่ยคือไม่ใช่ไม่เชื่อนะ แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่มองเห็นจริงๆ อย่างที่บอกคือจู่ๆ ผมก็ได้มาอยู่ตรงนี้ จู่ๆ ก็มีคนมาชอบ จู่ๆ ก็ได้มาเล่นหนัง คือมันเป็นส่ิงที่เราไม่ได้วางแผนไว้ มันเป็นโชคชะตาที่ทำให้เราได้เข้าไปทำอะไรเหล่านั้น แล้วเป็นโชคดีของเราที่มันรักเรา แล้วมันก็ทำให้เรารักมันคืน
“มันเป็นส่ิงที่เราไม่ได้วางแผนไว้ มันเป็นโชคชะตา แล้วเป็นโชคดีของเราที่มันรักเรา แล้วมันก็ทำให้เรารักมันคืน”
ตลอด 8 ปีในวงการบันเทิงของคุณ ชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง มีอะไรเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน
เล็กว่าด้วยประสบการณ์ชีวิตทั้งหมด คือถ้าให้รีวิวตัวเอง เล็กรู้สึกว่า 3 ปีในวงการเล็กรู้สึกไม่มีอะไรเปลี่ยนเลย เล็กเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น แต่พอเป็น 3 ปีล่าสุดคือรู้สึกว่าเราโตขึ้นในทางด้านการทำงานและด้านชีวิต และมองอะไรกว้างขึ้น มองอะไรมีเหตุมีผล มีความรับผิดชอบมากขึ้น และคิดถึงคนอื่นมากขึ้น เข้าใจสิ่งรอบตัวรวมถึงคนอื่นมากขึ้น ก็ถือว่านิ่งขึ้นครับ เป็นเรื่องที่ดี
แปลว่าเมื่อก่อนคุณอาจเป็นคนที่ไม่คิดถึงคนอื่นหรือเปล่า
ใช่ แล้วบางทีการที่เราอาจจะคิดว่าเราคิดถึงคนอื่น แต่จริงๆ แล้วเราคิดถึงตัวเองบางทีเราอยากทำอะไรให้คนคนนี้เพื่อให้เขามีความสุข แต่จริงๆ แล้วมันคือการทำเพื่อเราจะได้มีความสุขที่เราได้ให้อะไรเขา นั่นคือเราคิดถึงตัวเอง เพราะว่าเราอยากมีความสุขเราเลยให้เขา แต่จริงๆ แล้วถ้าเราทำอะไรเพื่อใคร หรือว่าทำอะไรเพื่อสังคม ต้องไม่หวังอะไร ต้องไม่หวังด้วยว่าตัวเองจะต้องมีความสุขที่ได้ให้
เหตุการณ์ไหนที่ทำให้คุณเปลี่ยนความคิดนี้ไป
เคยเป็นไหม เวลาพาพ่อแม่ไปกินข้าว เราอยากให้เขาได้กินของอร่อยเหมือนที่เรากิน และถ้าเกิดเขาชอบ เราจะแฮปปี้ แต่พอเขาไม่ชอบ เราก็จะหงุดหงิด อ้าว ทำไมไม่ชอบนี่อร่อยจะตายป๊า อร่อยจะตายม้า คือเราชอบแต่พ่อแม่ไม่ชอบไง นั่นคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราคิดได้ว่า คนเราชอบเอาบรรทัดฐานของตัวเองไปตัดสินคนอื่น มันไม่ได้นะ เราต้องเข้าใจก่อนว่าคนนี้ เขาคนนั้นหรือสิ่งนั้นต้องการอะไร หรือชอบอะไร
ภาพจากละครเรื่อง ดวงแบบนี้ไม่มีจู๋
พอเข้าใจเรื่องหนึ่งได้แล้ว กับชีวิตตัวเองยังมีอะไรที่ขาดและยังอยากเติมเต็มอีก
ผมขาดความเป็นผู้ใหญ่ ด้วยความที่ทุกวันนี้เรายังอยู่บ้านกับพ่อแม่มันก็เป็นข้อดีคือพ่อแม่ยังคอยดูแลเราอยู่ แต่ยังคิดไม่ออกว่าถ้าไม่มีพ่อแม่จะอยู่อย่างไร เพราะว่าทุกวันนี้เราทำงานหนัก พ่อเลยเข้ามาช่วยดูเรื่องโน้นเรื่องนี้ แม่คอยดูเรื่องประจำวัน อาหารการกิน เรายังขาดทักษะการใช้ชีวิตของเราเองบางส่วนอยู่
ตรงนี้บางคนอาจจะมองว่าเราก็โตแล้ว ดูโอเคแล้ว แต่เรารู้ตัวว่าเรายัง พอเรายืนอยู่ในอาชีพนี้ มันไม่มั่นคงอยู่แล้ว เราก็อยากจะมั่นคงกว่านี้ ทั้งในเรื่องการทำงานหรืออาจจะอาชีพอื่นที่เป็นอาชีพเสริม หรือว่าความมั่นคงด้านจิตใจของเรา เพราะว่าทุกวันนี้ถึงแม้รู้สึกว่าตัวเองโตขึ้นแล้วจริงๆ เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้วจริงๆ แต่ก็อยากให้มีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่านี้
ตัวละคร ‘โชค’ ด้วยคาแรกเตอร์ที่ต้องเล่นเป็นคนที่อ้วนมากๆ เหมือนกลับไปในยุคสมัยเรียนมหาวิทยาลัย
ใช่ แต่ชีวิตจริงผมไม่ได้อ้วนขนาดในละครนะ แต่ว่ามันก็ใช่ แล้วด้วยความที่เราเคยอ้วนมันคือโชคดีของเราอยู่แล้ว แล้วเราก็รู้ท่าทางของคนอ้วนอะ คนอ้วนจะเดินถกแบบนี้ มีปัญหากับกางเกงแบบนี้ ท่าเดินขาชิดไม่ได้ เมื่อก่อนตอนอ้วนผมก็ขาเบียดบ่อยมาก แสบหว่างขา เรารู้ว่าเป็นอย่างไร เราเลยเดินในละครก็เดินถ่างขาไปด้วย ขนาดผู้จัดยังบอกว่าเล่นดีกว่าตอนผอมอีก
ความอ้วนเป็นปัญหากับคุณอย่างไร เคยต้องตกอยู่ในที่นั่งของคนที่ถูกล้อเลียน หรือถูกกลั่นแกล้งจากคนรอบข้างหรือเปล่า
เชื่อไหมว่าตอนอ้วนไม่เคยมองว่าตัวเองอ้วนเลย ตอนนั้นน้ำหนัก 95 กิโลกรัม มันไม่ได้ถึงกับอ้วนกลม ผมแค่ตัวใหญ่เฉยๆ แบบอวบๆ แต่ถ้าย้อนกลับไปดู เอาจริงๆ ก็กลมฉิบหายเลย ตอนนั้นไม่คิดว่าตัวเองอ้วนเลย แต่เพื่อนทักไอ้หมี ไอ้หมีขาว ไอ้หมู ไอ้อ้วน อะไรอย่างนี้ โดนด่าเยอะเหมือนกันนะเมื่อก่อน แล้วเราก็แบบบ้าพวกมึงพูดอะไรกัน กลับถึงบ้านถอดเสื้ออาบน้ำ ดูกระจก เราก็แขม่ว ‘ไม่เห็นอ้วนเลย’ (หัวเราะ) หลอกตัวเองไปอีก แต่เมื่อก่อนเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือเราถอดเสื้อแล้วเราก็แบบแขม่วตลอดเวลา ไม่ค่อยได้ชั่งน้ำหนักหรอก จนรู้ว่าน้ำหนักเรา 95 กิโลกรัม งั้นโอเค มึงอ้วนแล้ว
ภาพจากละครเรื่อง ดวงแบบนี้ไม่มีจู๋
คุณก้าวผ่านช่วงเวลานั้นมาได้อย่างไร ในวันที่เราอาจยังไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องการบูลลี่เรือนร่างกัน
คือถ้าตัวเราไม่ยอมรับ ถ้าตัวเราไม่เชื่อคำบูลลี่ คำพวกนั้นมันทำอะไรเราไม่ได้เลยโชคดีของเราตอนนั้นที่เราไม่รู้สึกกับคำที่เพื่อนว่าเลย ไม่รู้สึกเลยจริงๆ และมันใช้กับทุกวันนี้ได้ด้วยนะ กูอ้วนแล้วหนักหัวใครอะ คือเราเป็นของเราอย่างนี้ คนที่มันล้อมันแกล้ง มันสนุกที่มันได้ทำแล้วอีกฝ่ายหนึ่งดิ้น เอาจริงๆ ทุกวันนี้คนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เยอะขึ้น แต่ว่ามันไม่มีทางหรอกที่มันจะหายไปจากโลกนี้ แต่ว่าผมไม่ได้สนับสนุนให้กลั่นแกล้งกันนะครับ แต่แค่สมมติว่าคนที่อาจจะยังโดนบูลลี่อยู่ในเรื่องอะไรก็ตาม เราอย่าไปเล่นตามเกมเขา
ดูเหมือนคุณจะมองทุกอย่างในแง่บวกเสมอ และผลักสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไปจากความคิดได้ง่ายมาก
อย่างที่บอก ผมเป็นคนโชคดีที่มองโลกในแง่ดีเสมอ เวลามีคนมาว่า มาด่าเราในโซเชียล เราก็เก็บมันมาเป็นคำเตือน เก็บมันมาเป็นแรงผลักให้ตัวเอง ผมเป็นคนไม่ค่อยจม อันนี้คือข้อดีของเรา แต่ว่าข้อดีบางทีก็มีข้อเสียเหมือนกัน มันทำให้เราดูเป็นคนไม่ใส่ใจหรือเปล่า มันทำให้เราไม่ได้เก็บสิ่งเหล่านั้นมาเป็นประสบการณ์ในใจของเราจริงๆ และมันอาจจะทำให้เราไม่พัฒนาก็ได้ ก็มีข้อเสียแหละ แต่ว่าแบบนี้แฮปปี้กว่า
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
ดวงแบบนี้ไม่มีจู๋ ออกอากาศทุกวันจันทร์-อังคาร เวลา 20.15 น. ทางช่อง 3 HD เริ่มตอนแรกวันอังคารที่ 28 กรกฎาคมนี้