จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) ได้เปิดผลสำรวจผู้ประกอบการและคนทำงานถึงผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ครอบคลุมคนทำงานกว่า 1,400 คน และผู้ประกอบการกว่า 400 บริษัท พบว่าคนทำงาน 1 ใน 4 ได้รับผลกระทบโดยตรงต่อสถานะการทำงาน แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในอีก 6 เดือนข้างหน้าพบสัญญาณเชิงบวกในการจ้างงานจากฝั่งผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น
จากการสำรวจพบว่ากว่า 25% ของคนทำงานได้รับผลกระทบ โดยผลกระทบมีระดับความรุนแรงดังนี้ 9% ถูกเลิกจ้าง 16% ถูกหยุดงานแต่ยังคงสถานะลูกจ้าง ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือพนักงานที่อยู่ในกลุ่มเงินเดือนต่ำกว่า 16,000 บาท มีลักษณะงานเป็นสัญญาจ้าง อายุมากกว่า 45 ปี และทำงานให้กับองค์กรที่มีพนักงานน้อยกว่า 50 คน
นอกจากนี้ผลการสำรวจยังเผยให้เห็นว่าคนทำงานที่ยังคงทำงานอยู่ก็ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวเช่นกัน โดย 48% ต้องทำงานที่บ้าน (Work from Home) 45% ได้รับผลกระทบเชิงโครงสร้างรายได้ ในจำนวนนี้ 27% ไม่ได้โบนัส 20% ไม่มีการปรับเงินเดือน และ 14% ถูกลดเงินเดือน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกลดเงินเดือนระหว่าง 11-20% ของรายได้
ขณะเดียวกันยังได้สำรวจ ‘ดัชนีความสุขในการทำงานของแรงงานไทย’ โดยก่อนการระบาดของโควิด-19 พบอยู่ที่ 85% และในช่วงของการระบาดลดลงเหลือเพียง 59% พร้อมพบว่าดัชนีไม่มีความสุขเพิ่มขึ้น 3 เท่าเมื่อต้องเปลี่ยนมาทำงานที่บ้าน และ 46% ของคนทำงานระบุว่าชั่วโมงการทำงานเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าพนักงานในสายงานโฆษณา งานประชาสัมพันธ์ รวมถึงสายงานการตลาดดิจิทัล งานอีคอมเมิร์ซ และงานโซเชียลมีเดีย เป็นกลุ่มสายงานที่ทำงานต่อวันเป็นระยะเวลานานขึ้นเมื่อต้องทำงานอยู่ที่บ้านอีกด้วย
ทั้งนี้ เพื่อพิจารณาปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญๆ ที่ดึงดูดคนหางานให้เลือกสมัครงานกับองค์กร จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) ได้ทำการสำรวจ ‘Laws of Attraction’ (LOA) ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2562 จนถึง 20 กุมภาพันธ์ 2563 จากคนทำงานทั่วประเทศไทยหลากหลายเจเนอเรชันกว่า 6,000 คน ผลสำรวจพบว่า 3 ปัจจัยแรกที่คนทำงานให้ความสำคัญมากที่สุด ได้แก่ 1. เงินเดือน/ค่าตอบแทน 2. ความมั่นคงในการทำงาน และ 3. ความก้าวหน้าในสายอาชีพ
โดยความมั่นคงในการทำงานมีความสำคัญเป็นอันดับ 2 รองจากเงินเดือน ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในการสำรวจจากคนทำงานทั้งหมด 6 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจากคำตอบ คนทำงานในไทยมองเรื่องความมั่นคงในการทำงานมีความสำคัญมากกว่าเรื่องสวัสดิการถึง 3 เท่า สำคัญกว่าตำแหน่งที่ตั้งของที่ทำงาน 2 เท่า และ 1.4 เท่าสำคัญกว่าเรื่องความสมดุลในชีวิต (Work-life Balance)
ในขณะที่สถานการณ์การจ้างงานในฝั่งของผู้ประกอบการที่มีในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะต้องเผชิญกับความท้าทาย ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ปรับแผนดำเนินงานในการรับมือ โดยพบว่า 52% ส่งเสริมให้พนักงานทำงานที่บ้าน 47% ปรับนโยบายการจ้างงาน ซึ่งในจำนวนนายจ้างที่ได้ปรับนโยบายการจ้างงานพบว่า 39% หยุดการรับพนักงานใหม่ และ 12% ลดจำนวนพนักงาน นอกจากนี้ผู้ประกอบการกว่า 37% จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเงินเดือนและค่าตอบแทน เช่น 21% ไม่มีการปรับเงินเดือน 20% พิจารณามาตรการลดเงินเดือน และ 18% จะงดการจ่ายโบนัส
อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจยังเห็นสัญญาณเชิงบวกในการจ้างงานจากผู้ประกอบการที่สะท้อนในการสำรวจดังกล่าว สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2563 พบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ 88% มีแนวโน้มการจ้างงานอีกครั้งใน 6 เดือนข้างหน้า โดยพบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้
- ผู้ประกอบการกว่า 33% ชี้ว่าอยากจะจ้างงานผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โควิด-19 เพื่อช่วยเหลือประเทศ
- ผู้ประกอบการกว่า 53% มีแนวโน้มที่จะว่าจ้างเด็กจบใหม่เพื่อทำงานในตำแหน่งระดับพนักงานทั่วไป
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลข้างต้นพบว่าผู้ประกอบการมีแนวโน้มจ้างงานมากที่สุดใน 5 สายงานใน 6 เดือนข้างหน้า ได้แก่ 1. งานไอที 2. งานการตลาด/งานประชาสัมพันธ์ 3. งานขาย/งานบริการลูกค้า/งานพัฒนาธุรกิจ 4. งานต้อนรับ/งานในร้านอาหารและบริการเครื่องดื่ม และ 5. งานจัดซื้อ
พรลัดดา เดชรัตน์วิบูลย์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “องค์กรต่างๆ ควรเร่งกระตุ้นการมีส่วนร่วมของพนักงานเพื่อลดความรู้สึกไม่มั่นคงในการทำงาน ขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมความสมดุลของชีวิตและการทำงาน รวมถึงสวัสดิภาพของพนักงานหลังจากเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะฟื้นฟูหลังจากวิกฤตครั้งนี้ ซึ่งคนทำงานจะมองหาองค์กรในมุมที่แตกต่างออกไป โดยองค์กรที่สามารถสร้างจุดแข็งและสร้างความแตกต่างในเชิงผลตอบแทนจะได้เปรียบในการดึงคนที่มีความรู้ความสามารถไปร่วมงาน ทำให้ตลาดแรงงานจะเปลี่ยนจากตลาดที่ขับเคลื่อนโดยผู้ประกอบการเป็นตลาดที่ขับเคลื่อนโดยคนทำงาน”
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์