หลังสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในจีนแผ่นดินใหญ่อันเป็นอู่ข้าวอู่น้ำสำคัญรองจากบ้านเกิด สหรัฐอเมริกา ผ่านพ้นวิกฤตหนักไปแล้ว ทาง Starbucks ไม่รอช้าที่จะออกมาแสดงความมั่นใจว่า ยอดในจีนจะกลับมาฟื้นตัวในเดือนกันยายนนี้อย่างแน่นอน
เชนกาแฟเงือกเขียวอันโด่งดังเพิ่งออกมารายงานผลประกอบการไตรมาส 2 สิ้นสุด 29 มีนาคม 2020 ยอดขายในร้านเดิมทั่วโลกลดลง 10% มากกว่าที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้จะลดลง 9.71% โดยยอดการทำธุรกรรมลดลง 13% ส่งผลให้รายได้รวมลดลง 5% เหลือ 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.94 แสนล้านบาท
ยอดขายระหว่างประเทศลดลง 31% เนื่องจากร้านมากกว่า 75% ในแคนาดา ญี่ปุ่นและสหราชอาณาจักร ต้องปิดตัวลงชั่วคราว ส่วนยอดขายในจีนของยักษ์ร้านกาแฟกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หลัง 98% ของร้านได้เปิดแล้วภายใต้การรักษาความสะอาดที่เข้มงวด ลดจำนวนที่นั่งในร้านเพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งตอนนี้ผู้บริโภคที่เริ่มปรับตัวได้แล้ว
“จากประสบการณ์ที่เราทำธุรกิจในจีนมา จนถึงปัจจุบันเรายังคงเชื่อว่าผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 เป็นผลกระทบเพียงชั่วคราว และธุรกิจของเราพร้อมที่จะกลับมาฟื้นตัวตลอดเวลา”
อย่างไรก็ตาม แม้ยอดขายในไตรมาสที่ผ่านมาได้ลดลง 50% แต่ Starbucks ก็ประเมินว่าธุรกิจในจีนจะกลับมาฟื้นตัวเต็มที่ในเดือนกันยายน ทว่าก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 โดยคาดการณ์ว่าในปี 2020 นี้ยอดขายในจีนจะลดลง 15-25%
ส่วนตลาดบ้านเกิดอย่างแดนลุงแซมนั้น กว่า 50% ของร้านต้องปิดตัวชั่วคราวในช่วงที่ผ่านมา พร้อมกับปิดไม่ให้กินในร้านเพื่อป้องกันการรวมตัวกัน เหลือเพียงวิธีซื้อกลับบ้านและเดลิเวอรีเท่านั้น อย่างไรก็ดี Starbucks คาดว่า 90% ของจำนวนร้านค้าทั้งหมดจะกลับมาเปิดได้อีกครั้งในช่วงต้นเดือนมิถุนายน
สหรัฐอเมริกาและจีนถือเป็น 2 ประเทศที่เป็นแหล่งรายได้ให้กับ Starbucks ด้วยมีจำนวนสาขารวมกันคิดเป็น 61% ของจำนวนร้านค้าที่กระจายอยู่ทั่วโลก ณ สิ้นไตรมาส 2 Starbucks มีร้านในสหรัฐอเมริกาจำนวน 15,257 สาขา และจีนมีจำนวน 4,351 สาขา
ในไตรมาสที่ 2 นี้ Starbucks เปิดร้านใหม่ทั้งสิ้น 255 สาขา รวมแล้วทั่วโลกมีสาขาทั้งสิ้น 32,050 สาขา 51% เป็นสาขาที่ Starbucks ดูแลเอง ที่เหลือ 49% เป็นของแฟรนไชส์ รวมๆ แล้วในปีงบประมาณนี้ Starbucks วางแผนจะเปิดสาขาใหม่ไม่น้อยกว่า 500 สาขาด้วยกัน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
