วันนี้ (2 เมษายน) ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยบุคคลที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวความคืบหน้าในการนำโรงแรมมาใช้เป็นโรงพยาบาลสนาม โดยกล่าวว่าตามที่ได้รับมอบหมายจาก อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้ดูแลเรื่องการจัดทำแผนด้านการรักษา โดยรวมศักยภาพโรงพยาบาลภาครัฐทุกสังกัดและโรงพยาบาลเอกชน จัดการเรื่องเตียงรองรับผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
โดยมีโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์ เป็นศูนย์บริหารจัดการ และได้ร่วมกับสมาคมโรงแรมไทยเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนโรงแรมให้เป็นโรงพยาบาลสนาม 2 รูปแบบคือ โรงพยาบาลสนามที่ใช้พักฟื้นผู้ป่วยโรคโควิด-19 (Hospitel) และโรงพยาบาลสนามที่ใช้สังเกตอาการของผู้เข้าข่ายเฝ้าระวังฯ (Hotel Isolation) รวมทั้งได้เตรียมทางเลือกให้กับผู้ที่ต้องการแยกกักตัวเองจากครอบครัว
ดร.สาธิต กล่าวต่อไปว่าสำหรับโรงแรมปริ๊นซ์ตันและโรงแรมพาลาสโซ ได้ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน Hospitel ของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โดยโรงแรมปริ๊นซ์ตันมีจำนวน 270 ห้อง ขณะนี้รับผู้ป่วยพักฟื้นตามเกณฑ์กรมการแพทย์ประมาณกว่า 50 คน อยู่ห้องแยกทุกคน และโรงแรมพาลาสโซอีก 439 ห้อง
“กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือสังคมให้เข้าใจสถานการณ์ว่าเราจะต้องจัดที่พักให้ผู้ป่วยระหว่างการพักฟื้นและผู้ที่เข้าข่ายเฝ้าระวังฯ เพื่อให้โรงพยาบาลมีเตียงพอที่จะรับผู้ป่วยที่มีอาการปานกลางและอาการหนัก เมื่อเรากักกันทั้งสองกลุ่มนี้ได้จะลดการแพร่ระบาด จำนวนผู้ป่วยจะลดลง ขออย่ารังเกียจตีตรา ขอให้มั่นใจในมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข เพราะเรามีระบบการดูแลจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลักวิชาการ ไม่แพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น” ดร.สาธิตกล่าว
ทางด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่าเกณฑ์ 5 ข้อในการรับผู้ป่วยเข้าพักใน Hospitel คือผู้ป่วยต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลมาแล้วไม่น้อยกว่า 7 วัน และมีผลภาพถ่ายรังสีปอด (Chest X-ray) คงที่ ผู้ป่วยยินดีให้ความร่วมมือ สื่อสารได้รู้เรื่อง ดูแลตนเองได้ดี ไม่ก้าวร้าว และไม่มีความเสี่ยงทางจิตเวช ผู้ป่วยต้องไม่มีไข้และโรคประจำตัว ควบคุมอาการได้ดี ผู้ป่วยมียามาจากโรงพยาบาลครบตามแผนการรักษา และโรงพยาบาลต้นทางยินดีมารับผู้ป่วยกลับเข้ารักษาหากผู้ป่วยมีอาการเปลี่ยนแปลง โดยมีทีมบุคลากรทางการแพทย์ดูแลติดตามอาการทุกวันจำนวน 3-5 คนต่อผู้ป่วย 100 คน และทุกห้องจะต้องมีเครื่องมือทางการแพทย์อย่างน้อย 2 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่โรงพยาบาลจะจัดให้ คือเทอร์โมมิเตอร์แบบอัตโนมัติและเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว
ขณะเดียวกัน นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวต่อว่าเกณฑ์ในการประเมินความเหมาะสมของโรงแรมในการตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามแบ่งเป็น 5 หมวด ประกอบด้วย
- โครงสร้างอาคารและวิศวกรรมต้องมีความปลอดภัย โครงสร้างสมบูรณ์ ไม่แตกร้าว ระบบความปลอดภัยพร้อมใช้งาน ห้องพักผู้ป่วยต้องเป็นห้องปรับอากาศแยกส่วน ไม่เป็นระบบท่อส่งลมร่วมกัน
- บุคลากร มีการจัดเตรียมบุคลากรสนับสนุนที่ผ่านการอบรมอย่างถูกต้องเหมาะสมในการให้บริการ
- มีความเพียบพร้อมของเครื่องมือทางการแพทย์ วัสดุ อุปกรณ์สำนักงาน และอื่นๆ
- มีการจัดเตรียมยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลไว้ให้บริการอย่างเหมาะสม
- การจัดการสิ่งแวดล้อมและเป็นมิตรกับชุมชน มีระบบการจัดการขยะติดเชื้อ การบำบัดน้ำเสีย การกำจัดสิ่งปฏิกูลที่ได้มาตรฐาน
ซึ่งขณะนี้มีโรงแรมทั่วประเทศสมัครเข้าร่วมแล้ว 132 แห่ง อยู่ระหว่างการตรวจสอบคุณสมบัติ คาดว่าจะขยายจำนวนห้องพักฟื้นผู้ป่วยและผู้เข้าข่ายเฝ้าระวังได้มากกว่า 16,000 ห้อง
ทั้งนี้เมื่อโรงแรมผ่านการประเมินตนเองครบทุกข้อกำหนดในทุกหมวดแล้ว จะมีการจัดทำ Shopping List ให้โรงพยาบาลได้เลือกจับคู่กับโรงพยาบาลสนามที่มีระยะการเดินทางใกล้กัน เพื่อนำผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยหลังจากเข้ารับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลเข้าพักฟื้น
ทางกระทรวงสาธารณสุขจึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการโรงแรมที่สนใจจะเข้าร่วมลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (www.hss.moph.go.th) พร้อมประเมินตนเองตามเกณฑ์ที่กำหนด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินโควิด-19 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ โทร. 0 2193 7024, 7059, 7097 ในวันและเวลาราชการ
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์