วันนี้ (1 เมษายน) บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ค่าเงินบาทเช้าวันนี้ เปิดตลาดที่ระดับ 32.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อน (30 มีนาคม) ที่ระดับ 32.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาค่าเงินบาทได้รับแรงกดดันจาก 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ ความกังวลว่าเศรษฐกิจจะหดตัวหนักจากวิกฤตโควิด-19, การอ่อนค่าของสกุลเงิน EM และตลาดหุ้นในฝั่งเอเชียที่ผันผวน โดยกรอบเงินบาทวันนี้ 32.65-32.95 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ต้นไตรมาส 2 ปีนี้ ทั้ง 3 ปัจจัยยังกดดันค่าเงินบาทอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเพราะทั่วโลกเลือกใช้มาตรการชะลอกิจกรรมทางเศรษฐกิจในการแก้ปัญหาการระบาดของไวรัส โดยมองว่าเงินบาทอาจอ่อนค่าได้มากที่สุดถึงระดับ 33.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นการอ่อนค่าต่อเนื่องที่ 2.5%
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาสนี้ก็มีโอกาสที่ทุกสกุลเงินเอเชียจะกลับตัว (แข็งค่า) เพราะเป็นขาลงของการระบาดของไวรัส ขณะเดียวกันเศรษฐกิจฝั่งเอเชียน่าจะกลับมาดำเนินการได้ตามปกติก่อนฝั่งตะวันตก เงินบาทจึงมีโอกาสแข็งค่ากลับมาได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของตลาดโลกช่วงกลางคืนที่ผ่านมา นักลงทุนฝั่งสหรัฐฯ ทยอยขายหุ้นปิดท้ายไตรมาส ส่งผลให้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงอีก 1.6% นับว่า 3 เดือนแรกของปีนี้ดัชนีหุ้น S&P ปรับตัวลดลงรวม 20% ถือเป็นช่วงที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2530 (ค.ศ. 1987)
อย่างไรก็ดี ในฝั่งของมุมมองเศรษฐกิจอนาคตยังคงปัจจัยบวก โดยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในสหรัฐฯ (CB Consumer Confidence) ปรับตัวลงมาที่ 120 จุด จากที่คาดว่าจะปรับตัวลงหนักกว่านี้ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการญี่ปุ่น (Tankan Business Survey) ที่รายงานในช่วงเช้าที่ผ่านมา สังเกตได้ว่าภาคอุตสาหกรรมมีมุมมองเชิงบวกว่าจะสามารถกลับมาทำธุรกิจได้ตามปกติบ้าง นอกจากนี้ดัชนีความกลัว หรือ VIX Index ก็ปรับตัวลงบ้าง โดยล่าสุดอยู่ที่ระดับ 53% แม้ว่าจะยังอยู่ในช่วงที่สูงผิดปกติ แต่ก็ถือเป็นสัญญาณว่าตลาดเคยชินกับความเสี่ยงปัจจุบันมากขึ้น
ฝั่งของตลาดเงินในช่วงไตรมาสที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าผิดปกติจากปัญหาสภาพคล่อง โดยเมื่อเทียบกับสกุลเงินกลุ่มประเทศเกิดใหม่ที่ผันผวนสูง (High Volatility EM Currencies) ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 15-20% และมีเพียงทองคำ ฟรังก์สวิส (CHF) กับเงินเยน (JPY) เท่านั้นที่สามารถปรับตัวบวกได้ในไตรมาสแรก เชื่อว่าปัจจัยดังกล่าวไม่ได้มาจากพื้นฐานของสหรัฐฯ ที่ดีกว่าประเทศอื่น ในอนาคต สกุลเงิน EM จึงมีโอกาสฟื้นตัวเมื่อเทียบกับสกุลเงินประเทศพัฒนา (DM) เช่นกัน
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า