วันนี้ (9 มีนาคม) จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุม ‘การขับเคลื่อนมาตรการช่วยผลไม้ไทย…สู้ภัย COVID-19’ ที่ห้องบุรฉัตรไชยากร ชั้น 4 อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
จุรินทร์กล่าวว่า วันนี้เป็นการร่วมมือร่วมใจกัน ทั้งในส่วนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจและภาคเอกชนในทุกภาคส่วน ทั้งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และภาคเอกชนจากระบบการค้าส่ง ค้าปลีก แพลตฟอร์ม สายการบิน และสมาคมโลจิสติกส์ และ ธ.ก.ส. และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งล้งและเกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ตัวเลขในภาพรวมในฤดูการผลิตที่จะถึงนี้มีการคาดการณ์ว่า ผักผลไม้จะมีผลผลิตรวมทุกชนิดประมาณ 3 ล้านตัน ซึ่งคาดว่าเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 10 จากปีก่อน และจะเริ่มออกมาตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป
เพราะฉะนั้นการช่วยกันกำหนดมาตรการเพื่อช่วยเรื่องราคาและระบายผลไม้ออกสู่ตลาดจึงเกิดขึ้น โดยมีการลงนาม MOU ร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ กับ 40 องค์กร ที่มาร่วมกัน
มาตรการที่ 1 การเข้าไปรับรองสวนผลไม้ GAP เพื่อให้เกษตรกรนั้นสามารถที่จะขายผลไม้ เพื่อนำไปสู่การส่งออกขายในตลาดในประเทศได้ ซึ่งเป็นหน้าที่ของกระทรวงเกษตร โดยกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ไปตรวจสวนและให้การรับรอง ซึ่ง เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อนุมัติเงินเพิ่มอีก 3 ล้านบาท เพื่อเร่งการดำเนินการแล้ว และการเก็บเกี่ยวผลไม้มีการให้เยาวชนเข้าไปช่วยเสริมในเรื่องของแรงงาน
มาตรการที่ 2 ตั้งศูนย์รวบรวมผลไม้ที่จันทบุรี
มาตรการที่ 3 ระบบการกระจายผลไม้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับในประเทศโดยในระบบการกระจายประกอบด้วย ระบบการค่าส่ง สมาคมตลาดกลาง ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 20 ตลาดทั่วทั้งประเทศ โดยมีตลาดไทเป็นตลาดใหญ่ที่สุด โดยจะช่วยดูดซับผลผลิตรวมของผลไม้ประมาณร้อยละ 60-70 และมีโมเดิร์นเทรดต่างๆ และตลาดหลักทั่วประเทศที่จะรับให้ความร่วมมือไปกระจายสู่ผู้บริโภคโดยตรง
สำหรับสายการบิน มีสายการบินทั้งหมด 6 สายการบิน แอร์เอเชีย ไทยสมายล์ บางกอกแอร์เวย์ นกแอร์ ไลอ้อนแอร์ และการบินไทย ที่จะให้บริการผู้โดยสารสามารถหิ้วผลไม้ขึ้นเครื่องน้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัมโดยไม่คิดเงิน และจะมีกล่องของกรมการค้าให้บริการอยู่ที่สายการบินทุกสนามบิน
มาตรการที่ 4 การกระจายผลไม้ด้วยระบบออนไลน์ ซึ่งมีแพลตฟอร์มต่างๆ ให้ความร่วมมือเช่น Thailand Post Mart ของไปรษณีย์ไทย ให้บริการในการรับออร์เดอร์ซื้อผลไม้ และไปรษณีย์ไทยจะช่วยกระจายผลไม้ส่งไปยังผู้บริโภคโดยตรง Lazada, Shopee, จตุจักรมอลล์, ไทยเทรดดอทคอม เป็นต้น
มาตรการที่ 5 เรื่องการส่งเสริมการขายในประเทศ มีการทำโปรโมชัน กรมการค้าภายในร่วมกับภาคเอกชน และศูนย์การค้าต่างๆ จัดเทศกาลผลไม้ในหลายพื้นที่ทั่วทุกภูมิภาค
และเรื่องใหญ่นอกจากระบบการกระจายผลไม้ คือเรื่องของการส่งออก หรือตลาดต่างประเทศ พบการตรวจสอบคุณภาพโดยเฉพาะไปยังตลาดจีน ถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดของเรา ในขณะนี้ต้องผ่านล้ง ซึ่งจะมีความซ้ำซ้อนกันอยู่ จากนี้ไปเตรียมการเรื่องความร่วมมือระหว่างเซ็นทรัลของไทยและ CCIT ของจีนที่จะจับมือการลงนามร่วมกันว่า ถ้าผ่านระดับประเทศใดประเทศหนึ่งไม่ต้องตรวจซ้ำอีก จะช่วยให้คล่องตัวยิ่งขึ้น และการกระจายไปยังตลาดต่างประเทศนั้นจะมีการจัดคาราวานผลไม้ไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่ม CLMMV ที่รวมมาเลเซียด้วย
และการจัดโรดโชว์เพื่อส่งเสริมการขาย เช่น เทศกาลผลไม้ในต่างประเทศ และการจับคู่ธุรกิจให้ผู้ส่งออกของเราพบผู้นำเข้าจากต่างประเทศ มีการจัด Food Festival และกิจกรรมส่งเสริมการบริโภค เพื่อส่งเสริมการขายไปยังต่างประเทศและตลาดอินโดนีเซียที่ประสบปัญหาการส่งออก โดยวันพรุ่งนี้อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศพบกับทูตของประเทศอินโดนีเซียประจำประเทศไทย เพื่อให้ไทยสามารถส่งออกไปอินโดนีเซียได้ ขณะนี้ยังไม่อำนวยความสะดวกให้เราสามารถส่งไปขายที่อินโดนีเซียได้
มาตรการที่ 6 เรื่องสภาพคล่องมี 3 มาตรการใหญ่
1.ในการช่วยผู้ส่งออกชดเชยดอกเบี้ยร้อยละ 3 เป็นเวลา 6 เดือน เพื่อช่วยลดต้นทุนและส่งเสริมให้มีการส่งออกมากยิ่งขึ้น
2.สหกรณ์การเกษตรที่รวบรวมผลไม้ในประเทศ จะช่วยดอกเบี้ยร้อยละ 3 เป็นเวลา 10 เดือน มีวงเงินทั้งหมด 1,000 ล้านบาท มีงบของกองทุนรวมเรียบร้อยแล้ว เพื่อให้สหกรณ์ช่วยรวบรวมผลไม้ไปกระจายได้ดียิ่งขึ้น
3.สมาคมตลาดกลาง สมาคมผู้ค้าส่งมีการบริการให้กรมการค้าภายใน ช่วยสนับสนุนในการส่งออกต่อไปให้คล่องตัวยิ่งขึ้น ในเรื่องของการช่วยกระจายผลไม้ไปยังตลาดในประเทศ
มาตรการที่ 7 เรื่องของล้งที่รับซื้อผลไม้ประเด็นปัญหาใหญ่คือ การกดราคารับซื้อ หากมีกรณีเช่นนี้เกิดขึ้น จะใช้กฎหมายเรื่องการแข่งขันทางการค้าเข้ามาดำเนินการและการรับซื้อผลไม้ ล้งจะต้องติดป้ายแสดงราคาว่าชัดเจนเป็นธรรม การทำเกษตรพันธสัญญาต้องเป็นไปตามมาตรฐานและเคร่งครัดทั้งผู้ซื้อและผู้ขายระหว่างเกษตรกรและล้ง เพื่อให้กลไกตลาดของระบบผลไม้เดินทางไปได้ด้วยความเป็นธรรม
มาตรการที่ 8 ในเรื่องของระบบโลจิสติกส์ ขอความร่วมมือให้การบินไทยเข้ามาช่วยเสริมในเรื่องของคาร์โก้ เพื่อให้การส่งออกผ่านระบบเครื่องบินไปยังต่างประเทศสะดวก คล่องตัว และเพิ่มพื้นที่ในการส่งออกผลไม้มากขึ้น และระบบคมนาคมทางบกเรื่องรถบรรทุก 10 ล้อสมาคมแจ้งว่า พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ในการที่จะดำเนินการกระจายสินค้าและเข้ามามีบทบาทสำคัญในระบบค้าส่งที่เผื่อมาจากศูนย์ไปยังตลาดใหญ่ 20 แห่ง
และมาตรการสุดท้าย มาตรการที่ 9 กระทรวงเกษตรจะจัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังผลกระทบ จากสินค้าการเกษตรที่เกิดจากโควิด-19 โดยผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถให้ข้อมูลและขอความช่วยเหลือห้องเรียนได้ที่ www.nabc.go.th ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า