“ออสเตรเลียมีจิงโจ้ไง แล้วก็มีหมีโคอาล่า แล้วก็มีอะไรอีกนะ …โอเปราเฮาส์ไง”
ผมกำลังพยายามนั่งนึกถึงคำตอบมากมายในหัวอยู่ของคำถามที่ว่า “ถ้าเราพูดถึงประเทศออสเตรเลียแล้วเราจะต้องนึกถึงอะไรบ้าง?” นอกเหนือจากสิ่งที่ผมนึกออก ระหว่างนั้นข้อความในมือถือก็เด้งขึ้นมา แจ้งเตือนว่า คุณแม่สุดที่รักของผมฝากซื้อวิตามินและครีมหลอดแดงจำนวนหนึ่งทันทีเมื่อรู้ว่าลูกชายกำลังจะบินไปทำงานที่นั่น
ภาพจำของคนทั่วไปที่มีต่อออสเตรเลียนอกเหนือจากสิ่งที่ผมคิดถึงและแม่ฝากซื้อคืออะไรกันนะ?
ฮาร์เบอร์บริดจ์เป็นสง่ากลางอ่าว
ออสเตรเลียเป็นประเทศที่ตั้งอยู่บนเกาะขนาดใหญ่ ใหญ่มากพอที่จะเป็นทวีป ที่สำคัญเรายังมักคิดว่า ตำแหน่งที่ตั้งของประเทศอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากเราเท่าไร ถึงแม้ว่าจะต้องใช้เวลาบินอย่างยาวนานถึง 9 ชั่วโมงก็ตาม ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหา หากการบินที่ยาวนานจะแลกมากับการเปิดประสบการณ์ใหม่ในโลกใหม่บนผืนดินอันเป็นอิสระจากทุกทวีป
และครั้งนี้ที่เราบินมาถึงซิดนีย์ แถมยังได้ไปทัวร์พื้นที่บารอสซาแวลลีย์ทางตอนใต้ของประเทศเขา จึงถือโอกาสมาหาคำตอบถึงวิถีชีวิตในแบบชนออสเตรเลียว่า นอกเหนือจากภาพจำเดิมๆ แท้จริงแล้วความเป็น ‘ออสเตรเลีย’ ของพวกเขาคืออะไรอีก
โอเปราเฮาส์ สัญลักษณ์ของออสเตรเลียที่เราต่างจดจำได้
ซิดนีย์ที่รัก
ผมได้ยินชื่อซิดนีย์มาตั้งแต่เด็ก นอกเหนือจากการเป็นเมืองที่มีโอเปราเฮาส์อันโด่งดังและงามสง่าตั้งอยู่ กลับพบว่า อีกเรื่องที่เราได้ยินและจำได้เสมอคือ ความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยเฉพาะคนไทยเราเองนี่แหละที่ตั้งรกรากที่อยู่อาศัยกันมากกว่า 100,000 คน จนมีย่านที่เรียกว่า ‘Thai Town’ เป็นของตัวเอง นี่ยังไม่รวมคนอีกหลายเชื้อชาติที่อาศัยอยู่กันกว่า 4.62 ล้านคน แต่ความเป็นออสเตรเลียจริงๆ คืออะไรกัน
หากเราไม่ได้มองเรื่องความหลากหลายทางเชื้อชาติของผู้อยู่อาศัย เราคงหันไปชมความงามของฮาร์เบอร์บริดจ์ที่หน้าตาคล้ายคลึงกับสะพานซังฮี้เวอร์ชันอัปไซส์ เคียงข้างเหมือนดาวเคียงเดือนมากับโรงอุปรากรซิดนีย์ นั่นคือสิ่งที่ทำให้ได้ตระหนักว่า ‘อ๋อ…นี่ฉันอยู่ซิดนีย์แล้ว นี่ไงความออสซี!’ แต่การบินมาถึงในช่วงต้นเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงหน้าหนาวพีคๆ ของที่นี่ กลับทำให้เรารู้สึกถึงรสชาติความเป็นอยู่ของที่นี่อย่างแท้จริง อากาศ 9-12 องศาเซลเซียส บวกกับแรงลมที่มากพอให้คุณสามารถรังสรรค์ผมทรงใหม่ได้คือคำตอบ และนี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องรับมือในชีวิตประจำวัน เมื่อใช้ชีวิตอยู่นอกอาคาร
วันอากาศชิลๆ ของซิดนีย์
บรรยากาศของซิดนีย์เป็นไปอย่างเรียบง่ายและไม่วุ่นวายอย่างที่คิด ถึงแม้ปริมาณรถยนต์จะมากมายเต็มท้องถนนไปหมดเหมือนกับอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งที่นี่ผมมีนัดกับงานเปิดตัวแคมเปญใหม่ของ Jacob’s Creek ที่ตั้งร้านอาหารป๊อปอัพที่ตั้งขึ้นมาใหม่บริเวณ Bennalong Point ที่ให้เราได้เห็นวิวของโอเปราเฮาส์มุ่งตรงไปถึงฮาร์เบอร์บริดจ์ที่ตระหง่านอยู่ข้างหลัง แต่ก่อนจะไปถึงงานดินเนอร์ ก็ต้องไปสัมผัสบรรยากาศของอ่าวซิดนีย์ แสร้งตนว่าเป็นนักท่องเที่ยวเสียก่อน เผื่อว่าจะได้สำรวจไปพลางว่าคนที่นี่เขาเป็นอยู่กันอย่างไร
What Brings Me Here?
เราเดินทางมาถึงออสเตรเลียครั้งนี้เพื่อมาค้นหาความหมายของชีวิตแบบออสซีที่แท้จริง และเตรียมพร้อมสำหรับเดินทางไปเยี่ยมบ้านเกิดของ Jacob’s Creek ที่พื้นที่บารอสซาแวลลีย์ เมืองแอดิเลต ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย และที่สำคัญที่สุดคือ การเข้าร่วมงานเปิดตัวแคมเปญใหม่ของ Jacob’s Creek ซึ่ง THE STANDARD เป็นเพียงสื่อเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้มาร่วมงานเปิดตัวนี้ เริ่มสงสัยแล้วว่า ที่เดินเกร็งๆ ตลอดทริปไม่ใช่เพราะหนาว อาจเป็นเพราะความประหม่าที่ต้องมานั่งทานข้าวร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ เซเลบริตี้ และผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วโลก
ก่อนหน้านี้หากคุณเป็นแฟนไวน์ คุณจะรู้ว่าไวน์ Jacob’s Creek เป็นไวน์จากออสเตรเลียที่มีหนทางในการนำเสนอแบรนด์ตัวเองผ่านแคมเปญที่เรียกว่า ‘Made by Australian’ บอกกันโต้งๆ ไปเลยว่า ไวน์นี้ผลิตโดยน้ำพักน้ำแรงของชาวออสเตรเลีย ซึ่งนำเสนอเรื่องความพิถีพิถันของการหมัก ความมีระดับ ความคลาสสิกของพันธุ์องุ่นที่เติบโตในดินอันอุดมสมบูรณ์และแตกต่างจากที่อื่นบนโลก และใช้แคมเปญนี้มาเนิ่นนาน ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น ‘Bring Your Australian’ ที่ชวนมาดึงเสน่ห์ของชนชาติออสซีแสนเสรีออกมาจากตัวทุกคน
บรรยากาศภายในงานเปิดตัวแคมเปญที่ใช้เทคโนโลยี Immersive Experience ให้สัมผัสความน่าตื่นเต้นกันบนโต๊ะอาหาร
แล้วทำไมต้อง Bring Your Australian? อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า เวลาพูดถึงออสเตรเลีย คุณนึกถึงอะไร และ ‘Bring’ ที่ว่า ได้พาอะไรมา จะพาโอเปราเฮาส์มาอยู่บนขวดก็ไม่ใช่ จะใช้จิงโจ้เป็นโลโก้ก็คงไม่ใช่ หรือจะเอาความสนุกสนานบนโกลด์โคสต์ที่บริสเบนมาก็ไม่เชิง ซึ่งทางแบรนด์เผยว่า “นี่แทบจะเรียกว่าเป็น The New Era เลย” เราสงสัยเชิงตื่นเต้น เพราะจากภาพลักษณ์ สีสัน และรูปแบบการนำเสนอไวน์แบบใหม่ แบรนด์ออสเตรเลียที่เราคุ้นเคยนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างน่าตื่นเต้นตามคาด และต้องเรียกว่าเป็น ‘ยุคใหม่ของ Jacob’s Creek’ อย่างแท้จริง
ภายในงานเปิดตัวนั้นมีความน่าประทับใจอยู่มากมาย เนื่องด้วยขนาดงานที่อบอุ่น ให้ทุกคนได้พุดคุยกันอย่างทั่วถึง ซึ่งครั้งนี้เขาได้ใช้เทคโนโลยี Immersive Experience ฉายภาพเคลื่อนไหวอันสวยงามลงบนโต๊ะอาหาร เพิ่มอรรถรสให้กับมื้ออาหาร และสร้างความตื่นตาให้กับงานนี้อย่างมาก โดยเฉพาะไฮไลต์สำคัญที่เขาพาลำธาร Jacob’s Creek ที่บารอสซามาไหลผ่านโต๊ะกันตรงหน้า!
นอกจากนี้ภายในงานยังมีการพาบุคลากรสำคัญๆ มาร่วมแชร์ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความสุข การใช้ชีวิตในวิถีชนออสเตรเลีย มีทั้ง เชฟลูอิส ทิคาราม ที่มาพูดถึงความสำเร็จของเขาในฐานะเชฟชาวออสเตรเลียที่บินไปโด่งดังที่ลอสแอนเจลิส แถมมื้ออาหารยังเป็นฝีมือสุดเลิศรสของเขาอีกด้วย นอกจากนี้เรายังได้มีโอกาสนั่งฟังเสียงสวรรค์สดๆ ของศิลปิน เคธี นูแนน ศิลปิน นักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ชาวออสเตรเลียที่คร่ำหวอดในวงการมากว่า 20 ปี บอกได้คำเดียวว่าเลิศ!
บรรยากาศภายในงานที่แสนอบอุ่น (เพราะข้างนอกหนาวมาก)
ดึงความเป็นออสเตรเลียออกมา
ถ้าแปลตรงตัวแบบไร้การพรรณนาโวหาร ‘Bring Your Australian’ ก็คือการพา/นำออสเตรเลียของคุณออกมา ซึ่งคำตอบคือ Jacob’s Creek ตั้งใจนำเสนอวิถีชีวิตของคนออสเตรเลียให้สื่อสารออกมาผ่านแบรนด์ไวน์ที่พวกเขาภาคภูมิและหลงรัก หาใช่แค่ว่าเป็นไวน์ที่ผลิตขึ้นในออสเตรเลีย แต่ยังสื่อถึงความเป็นชนชาติและวัฒนธรรมออกมาอีกด้วย การถือขวดไวน์สักขวดไปร่วมวงปาร์ตี้กับเพื่อน ทำให้คุณได้อยู่ร่วมกัน ได้แชร์ความสุข และรู้สึกสบายๆ ในแบบฉบับออสซี ซึ่งหยิบจับมาจากวิถีชีวิตของคนออสเตรเลียจริงๆ
“แคมเปญ Bring Your Australian นี้เป็นการเชื่อมต่อสิ่งที่ผู้บริโภคทั่วโลกรักเกี่ยวกับประเทศออสเตรเลียนี้ ซึ่งมันคือผู้คน จิตวิญญาณ ความรักในการใช้ชีวิต และพวกเราอยากเชิญชวนพวกเขามาร่วมวิถีชีวิตแบบนี้กับ Jacob’s Creek และเมื่อคุณถือขวดไวน์ของเราไปสังสรรค์ มันเหมือนกับคุณกำลังพกพาความรัก ความอบอุ่น และทัศนคติแห่งความสุขของคนออสเตรเลียไปด้วย” เดเรค โอลิเวอร์ Global Marketing Director อธิบายถึงแคมเปญใหม่นี้
นี่คือเรื่องจริง
ระหว่างที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วัน สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้คือความ ‘สบายๆ ถูกใจก็คบกันไป’ แบบพี่เบิร์ดที่ทุกคนมอบให้ ทุกคนสนุกกับชีวิตแม้เพียงแค่ยืนโต้ลมหนาวบนเรือที่ล่องบนอ่าวซิดนีย์ ชี้ชวนกันชมนกเป็ดน้ำที่บินถลามาหยอกล้อกับคลื่นลม หรือนั่งคุยเรื่องจิปาถะ ตั้งแต่เรื่องอาหาร ดนตรี การเมือง หรือชีวิตส่วนตัว จิบไวน์ชมวิวไปเรื่อยเปื่อย เดินชนแก้วทักทายอย่างสนุกสนาน และนี่เองคือบรรยากาศของการใช้ชีวิตที่พวกเขาเป็น ไม่ได้มีแค่ฮาร์เบอร์บริดจ์และโอเปราเฮาส์เสียเมื่อไร เพราะแท้จริงแล้วความเป็น ‘ออสเตรเลีย’ กลับอยู่ในวิธีคิด วิถีชีวิต และวัฒนธรรมที่แสดงออกผ่านความชิลของพวกเขานั่นเอง
ไวน์ที่เกิดขึ้นจากความแตกต่าง
การมาเยี่ยมเยือนออสเตรเลียในหัวเรื่อง ‘ไวน์’ ก็ต้องยอมรับว่า ตัวผมอย่างมากที่สุดก็พอจะบอกได้ว่า ไวน์ชนิดนี้เป็นไวน์อะไร ทำจากองุ่นพันธ์ุอะไร (เพราะว่าอ่านดูที่ขวด) หรืออาจจะสามารถบอกได้เล็กน้อยว่าไวน์นี้ให้กลิ่นหรือรสชาติคล้ายคลึงกับวัตถุดิบอะไร ซึ่งมันเป็นเรื่องน่าสนุกมากกับการได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้รับรู้เรื่องไวน์เบื้องต้นสำหรับคนวัยเริ่มต้นทำงานอย่างผม ที่ค่อยๆ ทำความรู้จักไวน์ เครื่องดื่มที่เราเคยมองว่ามีความทางการอยู่ในทีทีละนิด
เราเดินทางมาถึงบารอสซา พื้นที่เล็กๆ ทางตอนใต้ของประเทศออสเตรเลีย ที่เวลาเร็วกว่าซิดนีย์ครึ่งชั่วโมง สองข้างทางเรียงรายไปด้วยไร่องุ่น ไร่องุ่น และไร่องุ่น! ให้ความรู้สึกเหมือนเขาใหญ่ วังน้ำเขียว หรือเขาค้อบ้านเรา ก็คงมีลักษณะคล้ายๆ เช่นนี้ เมื่อสัก 40-50 ปีก่อนที่ผมเกิดไม่ทัน และที่นี่เองที่ทำให้ผมได้ตอบคำถามตัวเองถึงพฤติกรรมการดื่มในวัยนี้ของผมว่า ความจริงแล้ว เราอาจจะต้องการดื่มด่ำช่วงเวลาของชีวิตให้มากขึ้นต่างหาก และการจิบเครื่องดื่มดีๆ ก็เป็นหนึ่งในคำตอบ
มองหาจิงโจ้ในภาพดูสิ
บารอสซาแวลลีย์ต้อนรับเราด้วยฝนห่าใหญ่ที่มาเพียงพริบตา โดยที่ตัวคุณเองยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าฝนตกไปตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็ผมเผ้าเปียกปอนไปหมด ซึ่งอากาศของที่นี่หนาวกว่าที่ซิดนีย์ราว 7-8 องศาเซลเซียส หรือน้อยกว่า รวมไปถึงยังมีฝนตกปรอยบ่อยๆ สลับตกหนักสลับกับแดดจ้าราวกับคนหลายบุคลิก รวมถึงลมกระโชกแรง หมอกจางๆ ตัดกับพื้นหญ้าสีเขียวเจิด ครบสูตรบรรยากาศที่เราเรียกว่า ‘อากาศดี’
รู้หรือไม่ว่าดินนั้นส่งผลต่อการเพาะปลูก ซึ่งนั่นเป็นพื้นฐานที่เราทุกคนต่างรู้ และการที่ดินจะดีแค่ไหน ก็ต้องดูที่พื้นที่ ระดับความสูงต่ำจากน้ำทะเล รวมไปถึงสภาพอากาศของพื้นที่โดยรวม และดินที่บารอสซาคือผืนดินที่โอบอุ้มองุ่นที่ Jacob’s Creek นำมาผลิตเป็นไวน์ ซึ่งภูมิอากาศของที่นี่จะมีความเป็นอัตลักษณ์สูง นั่นคือมีทั้งแดด มีทั้งอากาศหนาว อากาศอุ่น สลับไปมาตลอดปี ฉะนั้นจึงส่งผลต่อรสชาติขององุ่นแต่ละสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดรสชาติที่แตกต่าง
“ในแต่ละวันมีคนบนโลกดื่มไวน์กันราว 1.7 ล้านแก้ว เป็นเรื่องน่าสนุกนะที่เราจะทำงานอย่างไร เพื่อมอบความสุขให้กับผู้คนทั่วโลก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ Jacob’s Creek ตั้งใจมอบคุณภาพให้แก่ผู้ดื่มในทุกๆ โอกาสของชีวิต และเราก็ดีใจที่ได้นำเสนอการเป็นผู้ผลิตไวน์ในฐานะคนออสเตรเลีย” แดน สวินเซอร์ ผู้อำนวยการการผลิตไวน์ของ Jacob’s Creek พูดถึงแนวทางการผลิตของเขาที่ทำให้ไวน์สัญชาติออสเตรเลียนี้ถูกใจและเป็นเพื่อนรักนักดื่มทั่วโลก
ความสนุกของการมาเยี่ยมบ้านเกิดของไวน์สัญชาติออสเตรเลียที่บารอสซานี้คือ นอกเหนือจากการดื่มไวน์อย่างไม่รู้จบแล้วนั้น ความสุขที่มากกว่าคือ การได้เห็นการใช้ศักยภาพของพื้นที่ให้เกิดสิ่งใหม่ๆ ขึ้น เช่น การเลือกสร้างแปลงผักเล็กๆ สำหรับการนำมาปรุงอาหารมื้อพิเศษให้แก่ผู้มาเยี่ยมชม ซึ่งนี่คือผักที่ถูกปลูกด้วยดินเดียวกับองุ่นที่ทำให้พืชพันธุ์เจริญเติบโตและมีรสชาติที่ดี และแน่นอนว่า การดื่มไวน์จะพิเศษขึ้นก็เพราะการได้แพริ่งกับอาหารที่เหมาะที่ควรนั่นเอง ซึ่งทุกๆ มื้ออาหารที่เราได้กินที่บารอสซาก็เกิดขึ้นจากแนวคิดการแพริ่งสนุกๆ ของเหล่าเชฟชาวออสเตรเลียอีกด้วย
บรรยากาศระหว่างการเรียนรู้เรื่องไวน์แพริ่งกับอาหาร
สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนความคิดของผมเกี่ยวกับการดื่มไวน์ไปคือ เมื่อเรากำลังเรียนรู้เรื่องไวน์แพริ่งกับอาหาร แล้วได้ยินใครสักคนในทริปนี้พูดขึ้นว่า “ไวน์ไม่ได้เปลี่ยนรสชาติ แต่เป็นรสชาติอาหารต่างหากที่เปลี่ยนไปเพราะไวน์” ซึ่งนี่เองที่ทำให้ผมจับต้องเสน่ห์และความมหัศจรรย์ของรสชาติได้ถึงเครื่อง ใครจะไปรู้ล่ะว่า การดื่มไวน์ขาวรีสลิง พร้อมๆ กับกัดเลมอนตามไป จะทำให้รสชาติของเลมอนหวานขึ้น หากคุณมีโอกาสได้ลองไปทำกิจกรรมไวน์แพริ่งสักครั้ง อย่าลังเลนะ!
Bring Your Australian เป็นก้าวใหม่ของ Jacob’s Creek ที่หยิบเอาวิถีชีวิตของชาวดาวน์อันเดอร์นำเสนอผ่านไวน์รสดี รวมถึงการดื่มไวน์อย่างมีเรื่องราว ก็นับเป็นก้าวใหม่ในชีวิตของผมในวัยยี่สิบกว่าๆ เช่นกัน ที่สุดท้าย ผมได้พบคำตอบที่น่าสนใจว่า ทำไมเราถึงควรดื่มด่ำช่วงเวลาที่แสนสุขของชีวิต ไม่ใช่แค่กับตัวเอง…แต่หมายถึงการได้แบ่งปันความรัก ความสนุก และรสชาติชีวิตแก่กัน และนั่นคือสิ่งที่ Jacob’s Creek ต้องการจะสื่อว่า คนออสเตรเลียไม่ได้กินดื่มกันเพียงแค่เพื่ออิ่มท้อง แต่เราแบ่งปันช่วงเวลาร่วมกัน มีจิตวิญญาณของการใช้ชีวิตให้มีความสุขอยู่ข้างใน
ออกไป ‘Bring Your Australian’ กันหน่อยไหมล่ะ?
อ่านเรื่อง เหตุผลที่ใครๆ ก็มาจิบไวน์ที่บารอสซาแวลลีย์ ผืนดินสีเขียวแดนจิงโจ้ และน้ำองุ่นคิดต่าง ได้ที่นี่
ภาพ: Akkapat Inthuprapa
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
นี่แหละที่มาของชื่อ Jacob’s Creek
- Jacob’s Creek คือแบรนด์ไวน์สัญชาติออสเตรเลียที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 1976 โดย โจฮาน แกรมป์ (Johann Gramp) ผู้ซึ่งปลูกองุ่นต้นแรกในลุ่มธารน้ำที่ชื่อว่า ‘Jacob’s Creek’ ในบารอสซาแวลลีย์ ปัจจุบันแบรนด์ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลก การันตีด้วยเหรียญรางวัลกว่า 8,000 เหรียญ ตลอดระยะเวลา 43 ปีที่ผ่านมา