โลกโซเชียลของสาวบิวตี้แทบลุกเป็นไฟ เมื่อศิลปินสาวผิวสี SZA (หรือ Solána Imani Rowe) ทวีตข้อความว่าเธอโดนเหยียดเชื้อชาติและถูกสงสัยว่าขโมยของขณะเดินช้อปปิ้งในร้าน Sephora ซึ่งกว่าจะจบเรื่องได้ก็ต้องคุยกันยาว
แต่เธอไม่ใช่หัวขโมยเสียหน่อย
หลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ฝั่ง Sephora เองก็ตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยการปิดร้านกว่า 460 แห่งทั่วอเมริกา รวมถึงศูนย์กระจายสินค้าและสำนักงานใหญ่ของบริษัท ทั้งยังยอมรับว่าเป็นการปิดเพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ SZA โดยตรง และ Sephora อาศัยเหตุการณ์นี้ปลุกแคมเปญ ‘We Belong to Something Beautiful’ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้างด้วย สิ่งที่ Sephora ลงมือแก้ไขอยู่ตอนนี้คือ การประชุมเชิงปฏิบัติการสำหรับพนักงานทุกคนของ Sephora เพื่อสร้างค่านิยมอันจะเป็นหัวใจหลักในการบริการลูกค้าทุกคนให้มั่นใจว่าจะได้รับการดูแล และต้อนรับอย่างอบอุ่นจากใจจริง
ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะมีเหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นกับสาวผิวสีจำนวนมาก ไม่ใช่แค่ SZA เท่านั้น สำนักข่าว Reuters รายงานว่า เมื่อปี 2560 เคยมีพนักงาน Sephora ถูกกล่าวหาว่ามีลักษณะเหยียดต่อลูกค้าผิวสีหลายคน โดยมักจะเดินตามลูกค้าผิวสีไปรอบๆ ร้านราวกับจับผิด ทำให้พวกลูกค้าผิวสีรู้สึกไม่ปลอดภัยและไม่สบายใจในการช้อปปิ้ง ซึ่งฝ่าย Sephora เปิดเผยว่ามีการวางแผนแคมเปญนี้ร่วมหลายเดือน และการปิดร้าน Sephora ในครั้งนี้ก็เพื่อจะปรับปรุงและปรับทัศนคติของพนักงานทุกคนให้เข้าถึงแก่นที่เป็นหัวใจของร้าน Sephora ในการต้อนรับและให้บริการที่จริงใจกับลูกค้าทุกเพศ ทุกวัย และทุกเชื้อชาติให้ดียิ่งขึ้น สำหรับนักช้อปทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นชาติไหน ประเทศอะไร ก็คงไม่มีใครอยากเจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเอง ได้แต่หวังว่า Sephora ทั่วโลก (ไม่ใช่แค่ที่อเมริกา) จะปฏิบัติต่อลูกค้าทุกคนอย่างเท่าเทียมกันด้วยหัวใจที่รักการบริการจริงๆ
ภาพ: instagram @SZA
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง: