×

รวม 10 เหตุการณ์ปาฏิหาริย์และการคัมแบ็กแห่งศึกแชมเปียนส์ลีก

08.05.2019
  • LOADING...

หลังจากคืนวันที่ (7 พ.ค.) ลิเวอร์พูลสามารถสร้างเซอร์ไพรส์ต่อหน้าแฟนบอลทั้งโลก โดยเฉพาะกับทีมคู่แข่งอย่างบาร์เซโลนา ด้วยการลงเล่นเกมที่ 2 พร้อมกำชัยชนะด้วยสกอร์ 4-0 ทั้งที่เกมแรกพวกเขาโดนต้อนมาก่อนถึง 3-0 ส่งผลให้ลิเวอร์พูลเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศไปก่อนเป็นทีมแบบแน่นอนแล้ว

 

THE STANDARD ได้รวบรวมเหตุการณ์ปาฏิหาริย์และการคัมแบ็กที่น่าสนใจแห่งศึกแชมเปียนส์ลีกมาให้ทุกคนได้ทวนความจำกันว่ามีทีมไหนบ้างที่ทำได้แบบลิเวอร์พูลกันบ้าง

 

 

1. ลิเวอร์พูล v บาร์เซโลนา 4-0 (รวม 4-3) ฤดูกาล 2018/19

 

สดๆ ร้อนๆ กับเหตุการณ์คัมแบ็กที่จะถูกกล่าวขานไปอีกนาน หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมา (7 พ.ค.) ลิเวอร์พูลที่ก่อนหน้านี้ถูกต้อนแบบยับเยินจากบาร์เซโลนาในถิ่นคัมป์นู 3-0 แต่ใครจะรู้ว่าการกลับมาสู้ในเลกที่ 2 กลับกลายเป็นดั่งหนังคนละม้วน เพราะปรากฏว่าลิเวอร์พูลที่ไม่มีผู้เล่นหลักให้ใช้งานอย่าง โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ และซาดิโอ มาเน และต้องส่งผู้เล่นสำรองหลายคนลงสนาม จะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ในสนามแอนฟิลด์ได้ด้วยการกระหน่ำประตูใส่ทีมเยือนไป 4-0 พร้อมคว้าตั๋วสู่รอบชิงชนะเลิศ และยังเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันที่พวกเขาเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นผลสำเร็จ และยังมีลุ้นแชมป์ยุโรปสมัยที่ 6 ให้กับสโมสรอีกด้วย

 

 

2. บาร์เซโลนา v ปารีส แซงต์ แชร์กแมง 6-1 (รวม 6-5) ฤดูกาล 2016/17

 

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เชื่อว่าแฟนบอลหลายคนคงจะไม่มีวันลืม ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการคัมแบ็กที่ระทึกที่สุดที่เคยมีมาในวงการฟุตบอล หลังจบเลกแรกของรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยเปแอสเชที่สอนเชิงบอลใส่บาร์เซโลนาไปก่อนในเลกแรกถึง 4-0 จะต้องมาตกรอบด้วยการถูกบาร์เซโลนาที่จู่ๆ ก็ฮึดอย่างสุดหัวใจ เร่งเครื่องรัวสกอร์ใส่เปแอสเชไป 6-1 โดยได้ 2 ประตูสำคัญในช่วงทดเวลาการแข่งขันท้ายเกมจาก เนย์มาร์ ในนาทีที่ 90+1 และเซร์จี โรแบร์โต นาทีที่ 90+5 และรวมผล 2 นัดเป็นบาร์เซโลนาที่ชนะ พร้อมกับผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปด้วยสกอร์รวม 6-5 ชนิดที่สะใจแฟนบอลถิ่นคัมป์นูแบบสุดๆ

 

 

 

3. เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา v เอซี มิลาน 4-0 (รวม 5-4) ฤดูกาล 2003/04

 

อีกหนึ่งเหตุการณ์สุดมหัศจรรย์ที่สาวกปีศาจแดง-ดำวัยเก๋าหลายคนน่าจะจำได้ไม่ลืม กับเหตุการณ์ในรอบ 8 ทีมสุดท้ายระหว่างเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา และเอซี มิลาน ที่ยุคนั้นมีสตาร์ดังอย่าง เปาโล มัลดินี, ริคาร์โด กาก้า, อังเดร เชฟเชนโก และอีกมากมายที่ร่วมกันสร้างทีมปีศาจแดง-ดำให้เป็นเบอร์หนึ่งของอิตาลีในเวลานั้น โดยผลการแข่งขันเลกแรกเป็นเอซี มิลาน เก็บชัยชนะเหนือลา คอรุนญา แบบไม่ยากเย็น 4-1 จนทำให้หลายคนคิดว่ากองทัพรอสโซเนรีน่าจะเข้ารอบต่อไปแน่นอนแล้ว

 

แต่ใครจะคิดว่าการกลับมาแข่งนัดที่ 2 ที่สเปน บ้านของลา คอรุนญา ซึ่งต้องยอมรับว่าต้นยุค 2000 เป็นช่วงเวลารุ่งเรืองของพวกเขา จะทำให้ขุนพล ‘รอสโซเนรี’ ต้องพบกับงานที่ยากลำบากกว่าเกมนัดแรก เพราะหลังจากลงเล่นเกมที่ 2 ในช่วงครึ่งเวลาแรก ลา คอรุนญา สามารถตะบัน 3 ประตูรวดจาก วอลเตอร์ ปันดิอานี, ฮวน คาร์ลอส บาเลรอน และอัลเบิร์ต ลูเก้ ก่อนจะได้ประตูตอกฝาโลงในครึ่งหลังจาก ฟราน กอนซาเลซ ที่ลงสำรองในเกมดังกล่าว ทำให้จบเกมเป็นฝั่งลา คอรุนญา เอาชนะไป 4-0 รวม 2 นัด พวกเขาเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 5-4 พร้อมส่งเอซี มิลาน กลับบ้านแต่ไก่โห่ตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้ายอย่างน่าเจ็บใจ

 

 

4. ปารีส แซงต์ แชร์กแมง v แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1-3 (รวม 3-3, แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้ารอบด้วยกฎอเวย์โกล) ฤดูกาล 2018/19

 

อีกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ แต่รอบนี้เป็นผลงานของทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ซึ่งเกิดขึ้นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยที่เกมแรกเป็นฝั่งของยอดทีมมหาเศรษฐี ‘ปารีส แซงต์ แชร์กแมง’ บุกมาเก็บอเวย์โกลพร้อมชัยชนะ 0-2 ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวดูจะเป็นใจให้กับเปแอสเชในการเข้ารอบต่อไปเป็นอย่างมาก เพราะเกมที่ 2 พวกเขาจะได้กลับไปเล่นในถิ่น ‘ปาร์ค เดอ แปรงส์’ รังเหย้าของทีม

 

แต่สถานการณ์นัดที่ 2 กลับไม่เป็นใจให้เปแอสเช เพราะจู่ๆ ทีมผู้มาเยือนที่ไม่มีอะไรให้เสียอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มาพร้อมกับฟอร์มการเล่นที่สามารถสู้กับเปแอสเชได้ดีกว่าเกมนัดแรกแบบผิดหูผิดตา สร้างความกดดันให้เจ้าถิ่นได้เรื่อยๆ จนออกนำ 2-1 ถึงช่วงท้ายเกม ซึ่งขณะนั้นทีมปีศาจแดงขอเพียงแค่ 1 ประตูเท่านั้น พวกเขาก็จะเข้ารอบทันที และแน่นอนว่าลูกกลมๆ ได้สร้างปาฏิหาริย์ให้พวกเขา โดยเป็น มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่สวมบทฮีโร่รับความกดดันทั้งหมดเพื่อสังหารจุดโทษชี้ชะตาให้ทีม ซึ่งกองหน้าวัย 21 ปีไม่ทำให้แฟนคลับเรดอาร์มีต้องผิดหวัง หลังจากซัดจุดโทษเข้าไปทำให้ทีมบุกชนะเปแอสเชถึงถิ่น 1-3 ในช่วงเวลาสุดระทึก พร้อมรวมผล 2 นัด เสมอ 3-3 แต่เดชะบุญ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีสกอร์อเวย์โกลที่มากกว่า จึงส่งให้พวกเขาเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายแบบสะใจแฟนบอลจริงๆ

 

 

 

5. เชลซี v นาโปลี 4-1 (รวม 5-4) ฤดูกาล 2011/12

 

สำหรับยอดทีมแห่งกรุงลอนดอนอย่าง ‘เชลซี’ ก็เคยผ่านประสบการณ์คัมแบ็กสุดมหัศจรรย์เช่นกัน โดยเป็นช่วงฤดูกาล 2011/12 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งในการแข่งนัดแรก สิงห์บลูเป็นฝ่ายบุกไปปราชัยให้กับนาโปลีด้วยสกอร์ 3-1 และที่สำคัญกว่านั้นคือเชลซีจะต้องลงสนามในเกมที่ 2 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงเรื่องของโค้ชจาก อังเดร วิลลาส โบอาส สู่โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ

 

ซึ่งดูเหมือนว่าการลงเล่นนัดที่ 2 ของขุนพลเชลซีจะสร้างสรรค์ผลงานได้ดีกว่าเกมแรก บวกกับการวางแผนของโรแบร์โต ดิ มัตเตโอ กุนซือชั่วคราวขณะนั้น ทำให้เกมรุกของทีมเล่นได้ดีขึ้น จนทำให้จบเกม 90 นาทีเป็นเชลซีที่ได้ 3-1 และต้องไปลุ้นต่อในช่วงทดเวลาพิเศษ 30 นาที หลังจากทั้งสองทีมเสมอกันในเวลา 4-4 ซึ่งช่วงเวลาแห่งปาฏิหาริย์ได้บังเกิดขึ้นในนาทีที่ 105 และเป็น บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ที่ประทานประตูชัยให้ทีมชนะ 4-1 รวม 2 นัดชนะ 5-4

 

และดูเหมือนว่าชัยชนะจากนัดดังกล่าวจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากๆ ของขุนพลสิงโตน้ำเงินคราม ‘เชลซี’ ที่เปิดทางให้พวกเขาเอาชนะเบนฟิก้าและบาร์เซโลนาในรอบที่เหลือก่อนทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ พร้อมสร้างปาฏิหาริย์คว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกในสนามอลิอันซ์อารีนาด้วยชัยชนะเหนือทีมที่เป็นเจ้าของสนามอย่างบาเยิร์น มิวนิก ในการดวลจุดโทษได้แบบเจ็บแสบเจ้าถิ่นสุดๆ

 

 

6. ยูเวนตุส v แอตเลติโก มาดริด 3-0 (รวม 3-2) ฤดูกาล 2018/19

 

อีกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้เช่นเคย โดยครั้งนี้เป็นทีของยูเวนตุสที่เกมแรกบุกไปโดนทีเด็ดจากทีมตราหมี ‘แอตเลติโก มาดริด’ ก่อน 2-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ซึ่งกดดันให้ขุนพลเบียงโคเนรีต้องชนะมากกว่า 2 ลูกขึ้นไป

 

และแน่นอนว่าพวกเขาทำได้ โดยคนที่เป็นพระเอกของงานนี้จะเป็นใครไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ชายผู้ทำแฮตทริกในเกมที่ 2 ที่กลับมาเล่นในยูเวนตุสสเตเดียมอย่าง คริสเตียโน โรนัลโด ที่เค้นฟอร์มเก่งแบบมาทันเวลาพอดี ช่วยให้ยูเวนตุสพลิกสกอร์แซงทีมตราหมีไปได้ 3-0 รวม 2 นัดขุนพลเบียงโคเนรีเข้ารอบ 8 ทีมต่อไปด้วยประตูรวม 3-2

 

 

 

7. โรมา v บาร์เซโลนา 3-0 (รวม 4-4, โรมาเข้ารอบด้วยกฎอเวย์โกล) ฤดูกาล 2017/18

 

หากแฟนบอลลิเวอร์พูลคิดว่าเป็นทีมเดียวที่สร้างความเจ็บปวดให้กับบาร์เซโลนาด้วยการคัมแบ็กกลับมาพลิกชนะเจ้าบุญทุ่มในสถานการณ์แบบนี้ ก็ดูจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก

 

เนื่องจากฤดูกาลที่แล้ว ทีมอย่างโรมานับว่าเป็นอีกหนึ่งทีมที่สร้างบาดแผลในใจให้กับบาร์เซโลนาเช่นกัน เพราะน้อยคนคงไม่คิดว่าในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับสถานการณ์ที่เกมแรกเจ้าบุญทุ่มที่ชนะโรมาไปก่อน 4-1 จะต้องตกรอบดังกล่าว ในเกมเลกที่ 2 เกมที่พวกเขาต้องปราชัยให้กับพลพรรค ‘จัลโลรอสซี’ เพราะในเกมนี้นอกจากการที่บาร์เซโลนาไม่สามารถทำประตูเพิ่มได้เลย แต่กลับต้องเป็นฝ่ายโดนสวนขึ้นมาทำประตูเรื่อยๆ จนครบ 90 นาทีเป็นฝั่งโรมาชนะเกมนี้ 3-0 รวม 2 นัด โรมาหยุดบาร์เซโลนาไว้เพียงรอบ 8 ทีมด้วยสกอร์รวม 4-4 แต่เป็นทางโรมาที่เข้ารอบด้วยอเวย์โกลของ เอดิน เชโก ที่ฝากไว้ในเกมเลกแรกที่แพ้ 4-1 ที่คัมป์นูอย่างน่าเจ็บใจ

 

 

8. เรอัล มาดริด v โวล์ฟสบวร์ก 3-0 (รวม 3-2) ฤดูกาล 2015/16

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย ประจำฤดูกาล 2015/16 ซึ่งเป็นทีมรองอย่างโวล์ฟสบวร์ก 1 ใน 2 ทีมตัวแทนจากเยอรมนีที่เหลืออยู่ในช่วงเวลา เป็นทีเด็ดสร้างเซอร์ไพรส์ใส่ราชันชุดขาวในเกมแรกที่พบกันดวยการชนะไปก่อนที่สกอร์ 2-0 ก่อนที่จะกลับมาลงเล่นในเกมที่ 2 ในสนามซานติอาโก เบอร์นาบิว

 

ซึ่งแน่นอนว่าพระเอกที่รับหน้าที่พาทีมคัมแบ็กรอบนี้ของเรอัล มาดริด ยังคงเป็น ‘คริสเตียโน โรนัลโด’ ที่โชว์ฟอร์มเก่งพร้อมกดแฮตทริกในเกมดังกล่าว เป็นผลให้หลังสิ้นเสียงนกหวีดเป็นเรอัล มาดริด เข้ารอบไปได้ด้วยสกอร์รวม 3-2 อีกทั้งในฤดูกาลนั้นขุนพลราชันชุดขาวยังประสานความร้อนแรงแบบต่อเนื่องจนเถลิงแชมป์ยุโรปเหนือทีมร่วมเมืองอย่างแอตเลติโก มาดริด ในเวลาต่อมา

 

 

9. บาร์เซโลนา v เชลซี 5-1 (รวม 6-4) ฤดูกาล 1999/2000

 

สำหรับเหตุการณ์นี้คงต้องย้อนกลับไปนานถึงช่วงฤดูกาล 1999/2000 เป็นยุคที่ตำนานหลายคนยังค้าแข้งอยู่ โดยการคัมแบ็กจากสถานการณ์ที่เป็นรองรอบนี้เป็นฝั่งของบาร์เซโลนาที่ช่วงนั้นมีผู้เล่นระดับตำนานอย่าง หลุยส์ ฟิโก้, แพททริก ไคลเวิร์ต, ริวัลโด และอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นในการแข่งขันรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่ยอดทีมแห่งคาตาลันมีคิวลงดวลกับสิงโตน้ำเงินครามเชลซี

 

โดยผลการแข่งนัดแรกที่สนามสแตมฟอร์ดบริดจ์เป็นเชลซีที่ทำได้ดีกว่า เอาชนะไปก่อน 3-1 และอีกเช่นเคย นัดที่ 2 ในสนามคัมป์นู บาร์เซโลนาซึ่งเป็นเจ้าถิ่นทำได้ดีกว่าตลอด 90 นาทีที่ทวงประตูจากเกมแรกได้ 3-1 จนถึงช่วงต่อเวลาพิเศษก็ยังบวกเพิ่มอีก 2 ประตูจากริวัลโดนาทีที่ 99 และแพททริก ไคลเวิร์ต นาทีที่ 104 จบเกมเป็นเจ้าบุญทุ่มชนะ 5-1 รวม 2 นัดบาร์เซโลนายุคคลาสสิกชนะไป 6-4

 

 

 

10. ลิเวอร์พูล v เอซี มิลาน 3-3 (ดวลจุดโทษ ลิเวอร์พูลชนะ 3-2) ฤดูกาล 2004/05

 

สำหรับเกมแห่งปาฏิหาริย์หรือการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไม่ได้เกิดขึ้นเพียงรอบน็อกเอาท์ระดับต่างๆ ของศึกฟุตบอลยุโรป หากแต่เรากำลังหมายถึง ‘รอบชิงชนะเลิศ’

 

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004/05 ณ สนามอตาเติร์ก โอลิมปิก สเตเดียม อิสตันบูล ประเทศตุรกี ซึ่งเป็นการดวลกันระหว่างเอซี มิลาน กับช่วงยุคทองของทีมที่ประดับไปด้วยนักเตะอย่าง ริคาร์โด กาก้า, อันเดรีย ปีร์โล, มัลดินี, กัตตูโซ และอีกมากมาย และลิเวอร์พูลที่มาพร้อมความหวังในการคว้าแชมป์สมัยที่ 5 พร้อมผู้เล่นยุคนั้นอย่าง สตีเวน เจอร์ราร์ด, ชาบี อลอนโซ และยอห์น อาร์เน รีเซ ภายใต้การนำทีมโดย ราฟาเอล เบนิเตซ

 

หลังจากผู้ตัดสินเป่านกหวีดเริ่มเกม การแข่งขันดำเนินไปอย่างระทึก ก่อนจะเป็นทางฝั่งพลพรรคปีศาจแดง-ดำที่โชว์ประสิทธิภาพการจบสกอร์ที่ยอดเยี่ยมกว่าด้วยการยิงนำ 3-0 ในช่วงครึ่งเวลาแรก ซึ่งการแข่งขันดำเนินมาถึงตอนนี้พร้อมการพักครึ่งแรกด้วยสกอร์ที่ขาดขนาดนี้ ยากที่จะปฏิเสธว่าค่อนข้างมีผลต่อสภาพจิตใจผู้เล่นลิเวอร์พูลแน่นอน

 

แต่ทว่าปาฏิหาริย์กับวงการฟุตบอลดูจะเป็นของคู่กันจริงๆ เพราะหลังจากเริ่มเขี่ยบอลครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลพยายามฉวยโอกาสการผ่อนเกมจากคู่แข่ง สร้างโอกาสทำประตูได้อย่างต่อเนื่องจนจบ 90 นาที เดอะ ค็อป สามารถยื้อเวลาพาทีมลุ้นแชมป์ต่อกับเวลาที่เหลือได้สำเร็จ จนกระทั่งคำว่าความพยายามไม่เคยทำร้ายใครสักคนที่ตั้งใจได้บังเกิดแก่ลิเวอร์พูล พวกเขาสามารถผ่านช่วงต่อเวลาพิเศษและดวลจุดโทษชนะเอซี มิลาน ไปได้ 3-2 (เสมอในเวลา 3-3) พร้อมนำถ้วยบิ๊กเอียร์กลับมาประดับตู้รางวัลให้สโมสรได้เป็นผลสำเร็จในที่สุด

 

 

ภาพ: Getty Images

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X