แฟนเพจเฟซบุ๊กชื่อ ศูนย์วิจัยและพัฒนากฎหมาย คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์ข้อความเมื่อช่วงบ่ายวันนี้ (30 มี.ค.) ประกาศแถลงการณ์ร่วมขับไล่ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ โดยอ้างเรื่องความล้มเหลวในการจัดการมลพิษฝุ่นที่เข้าขั้นวิกฤตในเชียงใหม่และพื้นที่ใกล้เคียงมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว สะท้อนความสามารถส่วนบุคคลของผู้ว่าราชการจังหวัดในการแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นความล้มเหลวของการปกครองในท้องถิ่นที่อยู่ภายใต้อำนาจของรัฐราชการรวมศูนย์ของไทย ที่หน่วยงานในระดับท้องถิ่นต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก และยังเปรียบเทียบสวัสดิภาพของประชาชนในท้องถิ่นก็มีค่าเบาบางเสียยิ่งกว่าฝุ่นด้วย
ทางเพจดังกล่าวยังแสดงความไม่พอใจกรณีที่ไม่มีการประกาศให้เชียงใหม่เป็นเขตควบคุมมลพิษ เพราะจะกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งหมายถึงรายได้ของรัฐโดยรวม แม้ว่าปริมาณฝุ่นจะอยู่ในระดับที่เป็นอันตรายอย่างรุนแรงต่อชีวิตของคนในพื้นที่ก็ตาม ปัญหาของการจัดการฝุ่นจึงเป็นปัญหาในระดับโครงสร้าง แม้จะเรียกร้องให้ผู้ว่าฯ ออกจากพื้นที่ที่มีปัญหาไป ก็ไม่มีหลักประกันว่าผู้ที่จะทำหน้าที่แทนจะทำหน้าที่ตอบสนองต่อชีวิตของคนในพื้นที่แต่อย่างใด
จึงเห็นควรให้ร่วมกันขับไล่ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ ที่มาจากการแต่งตั้งโดยรัฐราชการรวมศูนย์ โดยการเปลี่ยนให้เป็นผู้ว่าฯ ที่มาจากความเห็นชอบของประชาชนในจังหวัดนั้นๆ เอง
ถือเป็นอีกความตึงเครียดที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จากปัญหาฝุ่นควันที่ทวีความรุนแรง โดยล่าสุดรายงานจากเว็บไซต์ www.airvisual.com รายงานว่า จังหวัดเชียงใหม่มีระดับมลพิษทางอากาศสูงที่สุดอันดับ 1 ของโลก ด้วยค่า US AQI เท่ากับ 461 (เวลา 18.00 น.) ขณะที่เว็บไซต์ของกรมควบคุมมลพิษรายงานค่า AQI ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เวลา 16.00 น. เท่ากับ 169
ศ.นพ.ขวัญชัย ศุภรัตน์ภิญโญ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า ขณะนี้สภาพอากาศในจังหวัดเชียงใหม่เข้าขั้นวิกฤต มีผลกระทบต่อสุขภาพในระดับอันตราย ดังนั้นขอให้จังหวัดเชียงใหม่แจ้งเตือนให้ประชาชนรับทราบสถานการณ์ และให้อยู่แต่ในบ้านหรืออาคารที่มีระบบฟอกอากาศ ควรงดจัดกิจกรรมนอกอาคาร ประชาชนควรใช้หน้ากาก N95 และให้ใส่ตลอดเวลา จนกว่าคุณภาพอากาศจะเข้าสู่ภาวะปกติ
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง: