Ole’s at the Wheel!
ข่าวการประกาศแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ เป็นผู้จัดการทีม ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนใหม่อย่างเป็นทางการ สร้างความตื่นเต้นให้กับวงการฟุตบอลอยู่ไม่น้อยครับ โดยเฉพาะในหมู่ผู้คนที่ถวายหัวใจให้ปีศาจ
แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วมันเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นอยู่แล้วก็ตาม
เดิมมีการคาดกันไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับการแต่งตั้งกุนซือวัย 46 ปีเป็นผู้จัดการทีมครับ ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบ้างก็ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องการจะรอจนกว่าจะจบฤดูกาลที่น่าจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด แต่เมื่อเดือนที่แล้วก็มีข่าวว่าจะมีการแต่งตั้งในระหว่างการพบกับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ฟุตบอลยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก
จนล่าสุดเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มมีความชัดเจนว่าโซลชาร์จะได้รับตำแหน่งงานในฝันของเขาภายในสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งก็กลายเป็นความจริง เมื่อมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม โดยได้รับสัญญาระยะเวลา 3 ปีด้วยกัน
เป็นผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คนที่ 26 ตามระบอบปีศาจธิปไตย
สำหรับการแต่งตั้งในช่วงเวลานี้นั้นเป็นการแสดงจุดยืนของสโมสรที่พร้อมให้การสนับสนุนโซลชาร์อย่างเต็มตัว หลังจากที่ทีมประสบปัญหาเรื่องผลงานในสนาม แพ้ 2 เกมติดต่อกันต่ออาร์เซนอล ซึ่งเป็นการแพ้ครั้งแรกในพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่โซลชาร์ เข้ามาคุมทีม และแพ้ต่อวูล์ฟสในศึกเอฟเอคัพรอบ 8 ทีมสุดท้าย ซึ่งทั้ง 2 นัดเป็นการพ่ายแพ้แบบหมดสภาพ
บอร์ดบริหารที่นำโดย เอ็ด วูดเวิร์ด เชื่อว่าโซลชาร์คือตัวเลือกที่ดีที่สุดของทีมในเวลานี้ ซึ่งไม่ใช่การตัดสินใจที่อิงบนความรู้สึกเพียงอย่างเดียว หากแต่มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เชื่อว่าเขาคือคนที่เหมาะสมต่อตำแหน่งนี้จริง
เหตุผลข้อแรกและเป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ โซลชาร์สามารถนำความสุขกลับคืนสู่โอลด์แทรฟฟอร์ด ทำให้บ้านกลับมาเป็นบ้านได้อีกครั้ง
ที่เหลือเชื่อคือ เขาทำในสิ่งที่ผู้จัดการทีมก่อนหน้าเขา ไม่ว่าจะเป็นคนที่เซอร์อเล็กซ์การันตีให้อย่าง เดวิด มอยส์ หรือผู้จัดการทีมที่โปรไฟล์ยอดเยี่ยมอย่าง หลุยส์ ฟาน กัล และโฆเซ มูรินโญ ไม่เคยทำได้สำเร็จได้ตั้งแต่วันแรกที่กลับมา
ด้วยประโยคทักทายต่อพนักงานต้อนรับด้วยช็อกโกแลตของฝากจากนอร์เวย์ที่เขานำมาฝากพนักงานทุกคนเป็นประจำ ด้วยการยินดีไปร่วมงานเลี้ยงฉลองปีใหม่ของเจ้าหน้าที่สโมสร (ซึ่งปกติผู้จัดการทีมจะไม่ไป) ด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทำมันอย่างเป็นธรรมชาติ
เมฆหมอกร้ายที่ปกคลุมโอลด์แทรฟฟอร์ดมายาวนานจนบรรยากาศเลวร้ายและเข้าขั้นอยู่อาศัยไม่ได้ในช่วงปลายยุคของมูรินโญ ได้ถูกพัดพาออกไปให้แสงแดดและไออุ่นกลับมาอีกครั้ง
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกันสมชื่อ ‘ยูไนเต็ด’
เหตุผลข้อต่อมาคือ การที่เขาสามารถนำ Manchester United Way กลับมาได้อีกครั้ง
องค์ความรู้ที่เก็บเกี่ยวนับตั้งแต่ในวันที่นั่งข้างสนามเคียงข้างเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เพื่อรอจะถูกส่งลงไปแก้ไขสถานการณ์ ได้ถูกนำมาปรับใช้กับทีมที่มีปัญหาอย่างมากในผู้จัดการทีม 3 ยุคก่อนหน้านี้ ทั้ง มอยส์, ฟาน กัล และมูรินโญ
แค่เกมแรกโซลชาร์ก็ทำให้ชาวปีศาจแดงปาดน้ำตา เมื่อทีมบุกไปเอาชนะคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ สโมสรเก่าของเขาได้ขาดลอยถึง 5-1 ด้วยฟอร์มการเล่นที่แทบจะเป็นคนละทีมกับที่มูรินโญนำไปแพ้ลิเวอร์พูลแบบหมดสภาพที่แอนฟิลด์ในเกมก่อนหน้า
หลังจากนั้นที่เราได้เห็นกันเต็มตาคือ การเล่นฟุตบอลเกมรุก เปิดหน้าแลก ขึงเกมกดดัน ต่อบอลสั้นสวยงาม เกมสวนกลับที่แสนอันตราย
และสิ่งที่ชวนให้คิดถึงวันเก่าๆ ของยูไนเต็ดคือ การไม่ยอมแพ้ตราบใดที่ยังไม่หมดเวลา โดยเฉพาะการทำประตูแซงในช่วงทดเวลาบาดเจ็บที่เคยเป็นเอกลักษณ์ในทีมยุคของเฟอร์กี ที่เรียกขานกันว่า Fergie Time ก็กลับมาให้เห็นในยุคของโซลชาร์ เช่นกัน
ข้อต่อมาคือ การที่โซลชาร์สามารถดึงศักยภาพผู้เล่นในทีมออกมาใช้งานได้อย่างถูกต้อง ช่วยทำให้ทีมสามารถก้าวเดินต่อไปได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัดทีมครั้งใหญ่ซึ่งใช้เงินมากมายมหาศาลและต้องใช้เวลาด้วย
ก่อนหน้าโซลชาร์จะมาถึง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมีปัญหาแทบทุกจุดตั้งแต่แดนหลังถึงแดนหน้า ผู้เล่นจำนวนมากมีแนวโน้มที่จะตัดสินใจอำลาทีมเพราะไม่สามารถทนเล่นใต้การนำของมูรินโญได้ ไม่ว่าจะเป็น มาร์คัส แรชฟอร์ด, อ็องโตนี มาร์กซิยาล, พอล ป็อกบา เรื่อยไปจนถึง วิคเตอร์ ลินเดอเลิฟ และดาวิด เดแฮร์
หากนักเตะเหล่านี้ย้ายออกไปจริง นั่นหมายถึงสโมสรจำเป็นต้องหาคนมาทดแทน ซึ่งสำหรับตลาดนักฟุตบอลในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต่อให้เป็นทีมระดับพวกเขาก็ตาม ซึ่งการที่โซลชาร์สามารถทำให้นักฟุตบอลทั้งหมดที่กล่าวมา (และไม่ได้กล่าวอีกมากมาย) กลับมาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยม ย่อมหมายถึงการประหยัดงบและเวลาในการสร้างทีมใหม่ด้วย
ข้อที่ 4 คือข้อที่ทำให้บอร์ดบริหารไม่สามารถลังเลจะฝากอนาคตของทีมเอาไว้ในมือโซลชาร์ได้ เมื่อผลงาน 19 นัดที่ผ่านมาของเขา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเก็บชัยชนะได้ถึง 73.7% จากชัยชนะถึง 14 นัด เสมอ 2 และแพ้แค่ 3 นัด
โดยในจำนวนนี้มีผลงานที่น่าประทับใจหลายนัด ทั้งการถล่มคาร์ดิฟฟ์นัดแรก, การบุกไปชนะท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ที่มี เมาริซิโอ โปเชตติโน แคนดิเดตคู่แข่งของเขาถึงถิ่น, การบุกชนะอาร์เซนอลและเชลซีในเกมเอฟเอคัพ, การพลิกล็อกช็อกโลกด้วยการเขี่ยปารีส แซงต์ แชร์กแมงตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีก (เป็นทีมแรกที่แพ้ 0-2 ในนัดแรกแล้วสามารถพลิกเข้ารอบได้), การยันเสมอลิเวอร์พูล ทั้งๆ ที่มีปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บมากมาย และแทบจะลงสนามแค่ 10 คนครึ่ง (แรชฟอร์ดเหมือนมีครึ่งคน เพราะบาดเจ็บตั้งแต่ต้นเกม)
ข้อที่ 5 คือ โซลชาร์เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง สังเกตได้จากการรับมือกับกรณีของ พอล ป็อกบา (รวมถึงสตาร์คนอื่น), การตัดสินใจวางแท็กติกที่ถูกต้องในเกมที่บุกเอาชนะสเปอร์สได้ แม้คุณภาพทีมจะเป็นรอง
ไปจนถึงการปลุกเร้าทีมในช่วงพักครึ่งในแบบเดียวกับเซอร์อเล็กซ์ที่เรียกว่า ‘hairdryer’ ในเกมกับเรดดิง
และข้อสุดท้ายซึ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ การที่โซลชาร์เชื่อมั่นในผู้เล่นเยาวชน พร้อมให้โอกาสดาวรุ่งลงสนามโดยไม่กลัวเกรงเรื่องผลการแข่งขัน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ครูของเขาอย่างเซอร์อเล็กซ์เคยทำมาก่อน
เหตุผลทั้งหมดจึงพอจะสรุปได้ว่า โซลชาร์เป็นคนที่สามารถเชื่อมโยงอดีตและอนาคตของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเข้าด้วยกันได้อย่างน่ามหัศจรรย์ เป็นคนที่มีความพร้อมจะนำทีมก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่ทิ้งอดีตไว้ข้างหลัง
อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญในเวลานี้คงไม่ใช่เรื่องของการชื่นชมเพียงอย่างเดียว เพราะบทพิสูจน์ที่แท้จริงของโซลชาร์และของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่ที่วันข้างหน้าครับ
ในส่วนของโซลชาร์ เขาจะต้องเจอกับความยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ ในการทำทีม สังเกตได้จากผลงานในช่วงหลังที่เริ่มมีการสะดุดหรือเล่นได้ไม่ดีเท่าในช่วง ‘น้ำผึ้งพระจันทร์’ ตอนแรกๆ อันเนื่องจากคู่แข่งเริ่มจับทางได้มากขึ้น รับมือได้ดีขึ้น
เรื่องนี้เป็นเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่สุดที่เขาเจอมาตลอด เพราะถึงแม้จะนำทีมให้กลับมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่คนยังไม่เชื่อมั่นว่าโซลชาร์คือคนที่เก่งหรือปราดเปรื่องกว่าคนที่เคยมีข่าวกับทีมอย่างโปเชตติโน หรือซีเนดีน ซีดาน
เราจะได้เห็น ‘ของจริง’ ในฤดูกาลหน้าครับ ที่เขาจะได้มีโอกาสเตรียมทีมอย่างจริงจัง
อีกด้านหนึ่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดจำเป็นจะต้องมีการช่วยเหลือผู้จัดการทีม ด้วยการตั้งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคเข้ามาช่วยในเรื่องของการจัดหาผู้เล่นที่เหมาะสมกับทีมด้วย ซึ่งเป็นมาตรฐานปัจจุบันที่ทุกสโมสรชั้นนำต้องทำเหมือนกัน
ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เหนือผู้จัดการทีมจะมีตำแหน่งผู้บริหาร 3 คนคือ เอ็ด วูดเวิร์ด Executive Vice Chairman, ริชาร์ด อาร์โนลด์ Group Managing Director และแมทธิว จัดจ์ Head of Corporate Development
ไม่มี Techical Director หรือ Football Director ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญ เพราะจะเป็นคนที่รู้ เข้าใจ และสามารถช่วยวางแผน วางกลยุทธ์ของสโมสรได้
มีข่าวว่า เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ที่ทำหน้าที่นี้อยู่กับอาแจกซ์ อัมสเตอร์ดัม เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่อาจจะได้กลับมาโอลด์แทรฟฟอร์ดด้วยอีกคนครับ
แกรี เนวิลล์ ตำนานสโมสรเองก็เชื่อว่าความสำเร็จของยูไนเต็ดในยุคของโซลชาร์จะไม่มีวันเกิดขึ้น หากเขาไม่ได้รับการสนับสนุนที่ดีพร้อมจากสโมสรในการหาคนที่จะช่วยเฟ้นหาผู้เล่น และซื้อผู้เล่นที่ดีและเหมาะสมเข้ามา
ไม่เช่นนั้นต่อให้ประเคนงบเท่าไร สุดท้ายก็จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำอยู่ดี
ยูไนเต็ดต้องศึกษาจากตัวอย่างของแมนเชสเตอร์ ซิตี้หรือลิเวอร์พูล ที่สามารถหาซื้อผู้เล่นที่เหมาะสมกับทีมจนสามารถยกระดับการเล่นไปอีกขั้น
โซลชาร์สามารถนำอดีตและความรู้สึกวันวานกลับมาได้ใหม่แล้ว แต่การจะนำอนาคตที่เต็มไปด้วยความสำเร็จเหมือนวันเก่าๆ กลับมาไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ด้วยรอยยิ้มและสองมือของเขาเพียงลำพัง
เขาจะทำภารกิจนี้ได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา
แต่อย่างน้อยที่สุดเราพอจะรู้ว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอยู่ในมือของคนที่ดีและถูกต้องอย่างน้อยสำหรับโมงยามนี้
แค่นี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
- กระบวนการแต่งตั้งโซลชาร์เริ่มต้นหลังจากวันที่แพ้วูล์ฟส โดยขณะที่เขาเดินทางกลับบ้านที่นอร์เวย์ ในเมืองคริสเตียนซุนด์ เพื่อใช้เวลาร่วมกับภรรยา ซิลเย และลูกๆ 3 คน โนอาห์, คาร์นา และเอไลยาห์ เอเจนต์ของเขา จิม โซลบัคเคน ได้เดินทางมาลอนดอนเพื่อพูดคุยเรื่องสัญญาการเป็นผู้จัดการทีมเต็มตัวที่ลอนดอนเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว
- หลังได้รับตำแหน่ง คนแรกๆ ที่เขาต่อสายหาเพื่อแจ้งข่าวดีคือ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน
- โซลชาร์จะได้รับค่าตอบแทนปีละ 7 ล้านปอนด์ น้อยกว่าที่ โฆเซ มูรินโญ ได้รับครึ่งหนึ่ง แต่มากกว่าที่ได้รับจากโมลด์ปีละ 400,000 ปอนด์หลายเท่า
- ด้วยข้อกำหนดของ FIFA ที่ห้ามไม่ให้คุมทีมพร้อมกัน 2 สโมสร ทำให้โซลชาร์ ยกเลิกสัญญากับโมลด์ไปตั้งแต่เดือนธันวาคม โดยทางแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดยินดีจ่ายค่าชดเชยให้จำนวนหนึ่ง (ไม่มีการเปิดเผย) และจะมีการจัดเกมกระชับมิตรเชื่อมสัมพันธ์ระหว่าง 2 สโมสร
- ในเดือนตุลาคมปีกลาย ในลิสต์ผู้จัดการทีมที่มีโอกาสจะเสียบตำแหน่งแทนมูรินโญที่กำลังกดดันอย่างหนักในเวลานั้นไม่มีชื่อของโซลชาร์รวมอยู่ด้วย
- บทเพลง Ole’s at the Wheel สุดฮิตเวลานี้นั้น จริงๆ แล้วเป็นเพลงที่แฟนปีศาจแดงแต่งให้มูรินโญมาก่อน…