ท่ามกลางกระแสสปีกอีซี่บาร์สุดคูล หรือบาร์ที่เต็มไปด้วยลูกเล่นแพรวพราว เราขอพาคุณย้อนเวลากลับไปสู่บรรยากาศและเครื่องดื่มในแบบวันวานที่เพลินวาน พาณิชย์ ที่ยังคงรักษาคอนเซปต์ ‘วันวานยังเก๋าอยู่’ ด้วยการปรับคอนเซปต์สาขา The Street ย่านรัชดา ให้มีอารมณ์ประหนึ่งลูกทุ่งเข้ากรุง เพราะนำแรงบันดาลใจที่ได้มาจาก ‘ชุมชนบางยี่ขัน’ หรือชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณบางยี่ขัน ซึ่งเป็นโรงกลั่นสุราแห่งแรกของประเทศไทย มาผูกเป็นเรื่องราวให้น่าค้นหา เพราะเป็นยุคสมัยหลังสงครามโลก ที่สยามประเทศเริ่มคลายความตึงเครียดจากภัยสงคราม ณ เวลานั้น ประชาชนชาวไทยกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและการปลดแอก
เพลินวาน พาณิชย์ สาขานี้ จึงเน้นหนักด้านเครื่องดื่ม ด้วยการดึง กานต์ เลียงศรีสุข บาร์เทนเดอร์และหุ้นส่วนของร้าน ราบ (คลิกอ่านที่นี่) และ DAG (คลิกอ่านที่นี่) มาช่วยคิดค้นเมนูค็อกเทลที่ไม่หนีไปจากธีมหลัก เน้นการเลือกใช้วัตถุดิบไทยๆ ผสานเทคนิคการทำอาหารอย่างการอินฟิวส์ (infused) ซึ่งเป็นการนำผลไม้ สมุนไพร หรือเครื่องเทศต่างๆ ใส่ไปในของเหลว เช่น แอลกอฮอลล์ จนได้ออกมาเป็นซีรีส์ค็อกเทลไทยสไตล์จิ๊กโก๋ยกดื่ม
The Vibe
เมื่อก้าวเข้าร้านคุณจะสะดุดตากับการตกแต่งที่ขนเอาของเก่าเก็บ ซึ่งล้วนเป็นของสะสมที่เราเคยเห็นสมัยเด็กๆ มาประดับไว้เต็มร้าน ภายในเน้นการตกแต่งด้วยสังกะสีและไม้ขัด สามารถเลือกได้ว่าจะนั่งตรงบาร์เพื่อดื่มด่ำกับค็อกเทล หรือนั่งที่โต๊ะแล้วสั่งเครื่องดื่มมากิน พร้อมกับแกล้มเต็มโต๊ะในแบบไทยสไตล์
ยาดองสูตรไร้แอลกอฮอล์
The Drinks
เมื่อซีรีส์ค็อกเทลเซตนี้มาในชื่อ ‘ฤดูริมโขง’ ชื่อเครื่องดื่มต่างๆ จึงล้วนเกี่ยวข้องกับฤดูกาลของไทย แต่รสชาติและหน้าตาจะอิงกับชื่อที่ได้รับไหม? เราต้องมาดูกัน เริ่มจากค็อกเทลสาย Highball ซึ่งมีเบสเป็นเหล้าไทย ตัวแรกได้แก่ ตะวันยอแสง (250 บาท) เมนูขายดี เพราะความดื่มง่าย เริ่มจาการนำเหล้าแม่โขงไปอินฟิวส์กับน้ำผึ้ง เสาวรส และสับปะรด เพิ่มด้วยความหวานของน้ำเชื่อมใบเตย ตัดด้วยรสเปรี้ยวหอม ของเลมอน ก่อนท็อปด้วยโซดา มอบความสดชื่นเหมาะกับการดื่มเป็นแก้วแรกเมื่อมาเยือน
ตะวันยอแสง เหลืองอำไพ
ต่อด้วยค็อกเทลชื่อเพราะอย่าง ปลายฝนต้นหนาว (250 บาท) ที่ขอนำพาคุณไปสัมผัสกลิ่นอายของลมหนาว ด้วยการนำรัมไปอินฟิวส์กับใบโหระพา น้ำผึ้ง และมะตูมอบแห้ง สัมผัสที่ได้จึงมีความหอมของมะตูม แถมยังรู้สึกชุ่มคอจากสรรพคุณของพืชชนิดนี้ ถัดไปเป็นอีกแก้วที่ดื่มง่าย คาดเดาได้ไม่ยาก เพราะความใสประหนึ่งน้ำค้างยามเช้าของ หมอกน้ำค้าง (250 บาท) ที่บาร์เทนเดอร์นำบางยี่ขัน ซึ่งเป็นรัมหรือเหล้าขาวของไทยอินฟิวส์กับผลไม้หวานจัดอย่างสับปะรด ใบเตย และน้ำผึ้ง ท็อปด้วยโทนิกที่ให้ทั้งความขม หวาน ซ่า กลั่นกรองจนได้ออกมาเป็นค็อกเทลใสกิ๊งที่มีรสชาติชวนฝันเหมือนชื่อ
ปลายฝนต้นหนาว
หมอกน้ำค้าง
มาดูกันที่ค็อกเทล ซึ่งเป็น Signature Drink ของที่นี่กันบ้าง เห็นชื่อแต่ละตัวอย่าเพิ่งขมวดคิ้วใส่ว่าจะสั่งมาลองดีไหม เพราะส่วนใหญ่แล้วค็อกเทลที่นี่ค่อนข้างดื่มง่าย ไม่ได้มีรสเหล้าแรงจัด ออกไปทาง Sweet & Sour เช่น บางแสน (290 บาท) ที่นำเหล้าขาวอย่างเพื่อนชาวนา ซึ่งเป็นสุรากลั่นในชุมชนของเพชรบุรี ผสมน้ำตาลสด น้ำมะนาว และน้ำเชื่อมใบเตย ดื่มแล้วสดชื่นประหนึ่งนั่งอยู่ริมหาดบางแสน แต่หากใครชอบความท้าทาย อาจลองเป็น บานานาโบ๊ต (300 บาท) ที่รสสัมผัสโดดเด้งไปมา เป็นการนำเหล้าไปผสมกับ Campari เติมน้ำเชื่อมกระเจี๊ยบที่ทางร้านทำเอง เพิ่มมิติด้วยความเปรี้ยวของมะนาว ลิ้นจี่ และเสาวรส นับเป็นอีกแก้วที่มีรสเปรี้ยวนำและหวานตาม
บางแสน
ส่วนสายสมุนไพรจัดๆ ต้องลอง น้ำจิ้มทะเล (350 บาท) ที่แม้ชื่ออาจฟังหวาดเสียว แต่รสชาติไม่ได้เผ็ดร้อนตามชื่อ แต่เป็นการนำวอดก้าไปอินฟิวส์กับตระไคร้ เหยาะ เวอร์มุธหวาน น้ำแอปเปิ้ล น้ำสัปประรด น้ำมะนาว และน้ำเชื่อมอินฟิวส์ใบชา ส่วนพระเอกอยู่ที่ผักแขยง ผักพื้นบ้านของชาวอีสาน เพื่อเพิ่มความหอมและรสชาติเฉพาะตัว จิบแรกจะได้รสเปรี้ยวอมหวาน แต่หากดื่มพร้อมผักแขยง รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์จะนำพาคุณโลดแล่นไปสู่ท้องนาแดนอีสาน อันเป็นจุดให้กำเนิดผักพื้นบ้านชนิดนี้
ผักพื้นบ้านสู่บาร์คุณภาพ
น้ำจิ้มทะเล อย่าลืมเคี้ยวผักแขยงตามในจิบที่สอง
อีกตัวที่ไม่อยากให้พลาด ได้แก่ ผัดฉ่า (300 บาท) ที่เป็นการนำเบอร์เบินอินฟิวส์กับกระชายที่มีรสและกลิ่นฉุนร้อนแรง จิบแรกยังไม่เท่าไร แต่ถ้าเคี้ยวกระชายที่ทางบาร์นำมาใช้ตกแต่ง โอ้โห นี่มันผัดฉ่าจริงด้วย
กระชายตกแต่งด้านบน
ใครอยาก ‘ดื่ม’ ผัดฉ่า ต้องลอง
นอกจากค็อกเทลที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว หากคุณอยากเพลย์เซฟด้วยคลาสสิกค็อกเทลที่สั่งเป็นประจำ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะบาร์เทนเดอร์สามารถทำให้คุณได้ เพราะเมื่อมองดูแอลกอฮอล์ที่ตั้งเรียงรายบนชั้นแล้ว ขอบอกว่า ‘ไม่ธรรมดา’ ไม่น้อยหน้าบาร์ในย่านทองหล่อหรือเอกมัย ไม่ว่าจะเป็นวิสกี้ ซิงเกิลมอลล์ เบอร์เบิร์น หรือจิน เรียกได้ว่าน่าจะดีที่สุดในย่านนี้ อย่างโทนิกเองก็เสิร์ฟเฉพาะตัวพรีเมียมเท่านั้น ซึ่งนักดื่มจะรู้กันดีว่า ต่อให้เหล้าดีขนาดไหน ก็ตกม้าตายได้ที่โทนิก
The Dishes
แน่นอนว่าอาหารและกับแกล้มต้องล้อไปกับตัวร้าน เพราะต้องกินแล้วชวนให้นึกถึงอดีต ชนิดที่ว่า ‘วันวานกินอย่างไร วันนี้เราเสิร์ฟอย่างนั้น’ คล้ายอาหารที่กินหลังโรงเรียนเลิก หรืออาหารข้างโรงเรียน ซึ่งมีรสชาติที่ไม่ประดิดประดอย เข้าใจง่าย ตรงไปตรงมา และที่สำคัญไม่ใช่ผงชูรส เมนูกับแกล้มของที่นี่มาในขนาดกำลังดี เหมาะสำหรับสั่งหลายๆ จานแล้วมาแชร์กัน เน้นกินเป็นคำๆ เช่น ยำถั่วดัดจริต (90 บาท) หรือถั่วอาบังใส่ปลาจิ้งจั้งอบกรอบ (ปลาทะเลชนิดหนึ่ง) ปรุงรสด้วยเกลือและพริกป่น เติมพาเมซานชีส อันเป็นที่มาของชื่อดัดจริต ก่อนบีบมะนาวตอนจบ โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยที่เข้ากันได้ดีกับถั่วและพริกสด
ยำถั่วดัดจริต
ไก่กรอบจิ๊กโก๋ (100 บาท) นำไก่ปีกกลางหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ทอดให้แห้ง คลุกด้วยซอสผัดไทยสูตรพิเศษของทางร้านที่มี 3 รส ได้แก่ เปรี้ยว หวาน และเค็มนิดๆ ใส่พริกป่นตัดเลี่ยน โรยหน้าด้วยหอมเจียว ผักชีใบเลื่อยซอย ตบท้ายด้วยความเผ็ดร้อนของพริกขี้หนูจินดาแดงซอย ใครรู้ตัวว่าเริ่มกรึ่มๆ มาที่นี่ไม่ต้องขอชาร้อน แนะให้สั่ง ต้มสอบตก (100 บาท) ชื่อกวนๆ ถ้วยนี้คือ ต้มบ๊วยนั่นเอง ในซุปมีไก่ฉีก ขิง และผักที่มอบความหอม เช่น ต้นหอม ขึ้นฉ่าย ส่วนความเค็มได้มาจากบ๊วย เอาไว้ซดร้อนๆ กินแก้มึนจากค็อกเทล
ไก่กรอบจิ๊กโก๋
ต้มสอบตก
เพลินวาน พาณิชย์
Open: ทุกวัน เวลา 11.00-02.00 น. (มีวงดนตรีมาเล่นทุกคืนวันพฤหัสบดี ศุกร์ และเสาร์ เวลาสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน)
Address: โครงการ The Street รัชดา
Budget: 600 บาทต่อคน
Contact: 0 2121 1987
Map:
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล