ตามข้อมูลบนโลกออนไลน์ หากใช้ถนนสาย M40 วิ่งตรงจากลอนดอนขึ้นเหนือไปยังลิเวอร์พูล จะใช้ระยะทางราว 224 ไมล์ โดยใช้ระยะเวลาการเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมงเต็ม
ระยะทางดังกล่าวเป็นระยะทางที่จะบอกว่าไกลไหม ก็ไกลอยู่ครับในความรู้สึก
ในชั่วระยะการเดินทางนั้น หากจะเลือกการฆ่าเวลาด้วยการนั่งชมภาพยนตร์ก็น่าจะได้เกือบ 2 เรื่อง หากเป็นหนังสือก็น่าจะได้หลายสิบหรือถึงหลักร้อยหน้า หากใช้เวลาในการคิดถึงเรื่องอะไรสักอย่างก็อาจจะได้คำตอบที่ชัดเจน เว้นเพียงแต่หากคิดถึงใครบางคนมันอาจจะไม่มากพอที่จะทำให้หายคิดถึง
แต่น่าแปลก ในการเดินทางไม่ว่าจะเป็นจากลอนดอนไปลิเวอร์พูล หรือกรุงเทพมหานครไปนั่งกินเฉาก๊วยชากังราวที่เมืองกำแพงเพชร (ซึ่งใช้ระยะเวลาใกล้เคียงกัน) เมื่อเริ่มต้นจนถึงปลายทาง บางครั้งเราก็รู้สึกว่ามันไม่ได้ไกลอย่างที่คิด
ระหว่างอาร์เซนอลและลิเวอร์พูลก็เช่นเดียวกันครับ
มองย้อนกลับไปในช่วงฤดูกาลที่แล้ว เรื่อยมาจนถึงในช่วง 2 เดือนแรกของฤดูกาลใหม่ หากวันนั้นถามสาวกกูนเนอร์สว่า พวกเขามองตัวเองอย่างไรเมื่อเทียบกับลิเวอร์พูลที่กำลังร้อนแรงและแข็งแกร่งภายใต้การนำของ เจอร์เกน คลอปป์
ณ เข็มนาฬิกานั้น ผมไม่คิดว่าจะมีกูนเนอร์สคนไหนอยากพูดถึง เพราะในความรู้สึกแล้ว พวกเขาเหมือนจะอยู่ไกลจากลิเวอร์พูลมาก อาจจะมากกว่าระยะทาง 224 ไมล์ตามแผนที่ด้วยซ้ำ
เพราะอาร์เซนอลนั้นบอบช้ำจากช่วงระยะเวลาที่สูญเปล่าร่วม 10 ปีในร่มเงาของ อาร์เซน เวนเกอร์ ที่แม้จะอบอุ่นและปลอดภัย แต่ยิ่งวันผันเวลาผ่านก็ยิ่งชัดว่า เวนเกอร์ไม่สามารถพาตัวเองและทีมของเขาออกจากร่มเงาที่เคยปกคลุมเอาไว้ได้
ทีมชุดนี้ไม่ต่างอะไรจากคริสตัลที่แตกสลาย แม้เศษซากจะยังสวย แต่มันใช้ทำอะไรไม่ได้
การจะคิดไปเทียบกับลิเวอร์พูล ซึ่งผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาเมื่อ 3 ปีที่แล้ว และปัจจุบันกำลังเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์เต็มตัวอีกครั้งในรอบเกือบ 5 ปี มันเป็นเรื่องที่ยังเทียบกันไม่ได้
ระยะทางมันห่างไกลในความรู้สึก
แต่มันก็คือความรู้สึกครับ
เมื่อถึงคราลงสนามจริงเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา (3 พ.ย.) สิ่งที่เราได้เห็นและเป็นอยู่คือระยะห่างระหว่างสองทีมนั้นอาจจะไม่ได้ไกลกันอย่างที่คิด
แม้กระทั่ง อูไน เอเมอรี เองก็เริ่มมั่นใจ พวกเขาก้าวกระโดดจากความเป็นทีมที่แหลกสลายมาไกลแล้ว
หลังการเริ่มต้นเหมือนฝันร้ายด้วยความปราชัยแบบหมดสภาพต่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้และเชลซี ในการเปิดสนามพรีเมียร์ลีก 2 นัดแรก หลังจากนั้นอาร์เซนอลไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกผิดหวังอีก
หัวใจที่ห่อเหี่ยวเต้นในจังหวะที่นิ่ง เงียบ และเรียบ กลับมาเต้นตูมตามในจังหวะที่เร่าร้อนขึ้นเรื่อยๆ ร้อนจนแทบระเบิดออกมาเมื่อเผชิญหน้ากับลิเวอร์พูลผู้แข็งแกร่ง
ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ถึงจะทำได้ดีแค่ไหน แต่สิ่งที่อาร์เซนอลยังรู้สึก ‘ค้างคา’ อยู่คือ การที่พวกเขาไม่ได้ผ่านการปะทะกับทีมใหญ่มาก่อน
เสียงวิจารณ์หนักและหนาหูว่าผลงานไร้พ่ายในช่วงที่ผ่านมาเป็นของปลอม เพราะพวกเขาเจอแต่ทีมในระดับรองไม่ได้เจอของจริงเลย
มันเป็นคำถามที่กูนเนอร์สก็รู้สึกจุกอก และอยากเห็นนักเตะของพวกเขาลงสนามไปให้คำตอบแก่โลกทั้งใบว่า ที่แท้แล้วช่วงเวลาความสวยงามที่ได้เห็นนั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือลวงหลอกกันแน่
ความค้างคานี้มีผลกับนักเตะเช่นกันครับ และทำให้พวกเขาลงสนามประจัญบานกับคู่ปรับอย่างลิเวอร์พูลด้วยความรู้สึกที่ฮึกเหิม
ราวกับเป็นนักรบสปาร์ตันที่ลงไปฟาดฟันกับพวกเปอร์เซียในสมรภูมิที่ช่องเขาเธอร์โมไพลี
การตัดสินใจใส่ 4 นักเตะแนวรุกที่ดีที่สุดอย่าง อเล็กซองเดร ลากาเซตต์, ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง, เมซุต โอซิล และ เฮนริค มคิตาร์ยาน ลงสนามพร้อมกันของเอเมอรี เป็นการแสดงจุดยืนที่เด็ดขาดว่า พวกเขาต้องการประตูเพื่อชัยชนะ
สิ่งที่เราได้เห็นคือ การเล่นที่มีทั้งความดุดันและความอ่อนช้อยในเวลาเดียวกันของกันเนอร์ส 4 ประสานในแนวรุก เข้าจู่โจมโรมรันพันตูกับนักเตะลิเวอร์พูลได้อย่างเร้าใจ จังหวะการสอดประสานการเล่นเป็นไปอย่างลื่นไหล
ไม่ผิดอะไรนักหากจะบอกว่าพวกเขาเป็นทีมแรกที่ทำให้ลิเวอร์พูลต้องตกอยู่ในสภาพหัวซุกหัวซุน หากเปรียบเป็นมวยก็เจียนไปเจียนอยู่เต็มที
ความกล้าที่จะแลกของอาร์เซนอล เป็นเรื่องที่ต่อให้เดอะ ค็อป ก็อยากปรบมือให้ เพราะแม้กระทั่งแมนเชสเตอร์ ซิตี้ หรือ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก็ไม่กล้าที่จะเล่นกับพลพรรคหงส์แดงขนาดนี้
แต่แน่นอนว่าทีมของคลอปป์นั้นเป็นทีมที่มีทีเด็ดและทีขาด ในระหว่างที่โดนรัวหมัดซัดจนหลังพิงเชือก พวกเขายังสามารถปล่อยของออกมาให้กันเนอร์สหน้าหงายได้เป็นระยะ
เกมรุกอาร์เซนอลอาจจะร้อนเหมือนกับไฟเออร์ แต่ในเกมรับพวกเขามีช่องและจุดอ่อนให้เห็น
ความจริงลิเวอร์พูลสมควรจะต่อยอาร์เซนอลร่วงลงไปก่อนด้วยซ้ำจากประตูของ ซาดิโอ มาเน ซึ่งจริงๆ แล้วไม่เป็นลูกล้ำหน้าตามกฎ เนื่องจากแม้จะยืนล้ำหน้าในตำแหน่งแรก แต่ทันทีที่บอลถึง โรแบร์โต เฟอร์มิโน ที่ยิงข้าม แบร์นด์ เลโน ไปแล้ว นั่นหมายถึงมาเนซึ่งยืนอยู่ต่ำกว่าเพื่อนชาวบราซิลไม่อยู่ในตำแหน่งล้ำหน้าอีก
เช่นกันกับสองจังหวะในครึ่งแรกของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ที่พักอกหลุดเดี่ยวไปยิงติดตัวเลโน และอีกครั้งที่โหม่งเช็ดไปชนเสา
เกมในครึ่งแรกจึงจบแบบใจหายใจคว่ำ และมีผลต่อหัวใจอย่างมาก โดยเฉพาะกับเหล่าเดอะ ค็อป
ในครึ่งหลังเราจึงได้เห็นคลอปป์สั่งปรับระบบการเล่นใหม่เพื่อกระชับพื้นที่ตรงกลางสนาม ปิดจุดอ่อนในช่วงครึ่งแรก แม้ว่าจะแลกมาด้วยการเสียความวูบวาบไปบ้างก็ตาม แต่ก็ได้ผลดี
ลิเวอร์พูลมีเวลาหายใจหายคอมากขึ้น และค่อยๆ แสดงให้เห็นว่าทำไมพวกเขาจึงยืนอยู่ในกลุ่มหัวตารางเคียงข้างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ได้
เหตุผลเพราะทีมชุดนี้ได้ถูกเติมความแข็งแกร่ง โดยเฉพาะในเกมรับ นักเตะอย่างฟาน ไดจ์ค และ อลิสสัน ผู้รักษาประตูหน้าใหม่ทำให้แนวรับชุดนี้เหนียวแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ขณะที่เกมรุกถึงจะลดความวูบวาบหวามไหว แต่พวกเขาก็ยังมีทีเด็ดทีขาด ดังเช่นประตูขึ้นนำของ เจมส์ มิลเนอร์ ในช่วงกลางครึ่งหลัง
ความจริงประตูนี้น่าจะทำให้ทุกอย่างจบแล้วครับ เพราะอาร์เซนอลเหมือนจะช็อกและช็อต ขณะที่ฝ่ายหงส์แดงเล่นได้เหนียวแน่นตามมาตรฐาน
แต่เอเมอรีไม่ยอมให้จบแบบนั้น แทนที่จะโยนธงขาว เขาเลือกจะส่งไพ่ใบที่ 1, 2 และ 3 ลงมา ตั้งแต่ อเล็กซ์ อิโวบี, อารอน แรมซีย์ และ เดนนี เวลเบ็ก
ปรับหมากทุกทาง เอาทุกอย่างเพื่อให้ทีมกลับมาให้ได้ และอาร์เซนอลก็ทำได้จริงๆ ซึ่งต้องชมอิโวบี ที่ความจริงแล้วเป็นนักเตะที่มีความสำคัญอย่างมากต่อทีมชุดนี้ในฐานะคนที่ทำในสิ่งที่นักเตะระดับสตาร์อย่าง โอซิล, โอบาเมยอง, ลากาเซตต์ และ มคิตาร์ยาน ไม่ทำ นั่นคือการทำงานเล็กงานน้อย ช่วยให้ทีมเล่นเป็นทรง
สุดท้ายเป็นความกล้าได้กล้าเสียของเขาที่จ่ายให้ลากาเซตต์หลุดเข้าไปในเขตโทษ ซึ่งแม้จะถูกอลิสสันออกมาดักและปิดทางได้ดีพอสมควรแล้ว แต่อดีตดาวซัลโวลีก เอิงแสดงให้เห็นว่า หากเป็นวันที่ดีที่สุดของเขาเหมือนในวันนี้ ขอเพียงช่องเล็กน้อยเขาก็ยิงประตูได้
ยืนยันว่าประตูของลากาเซตต์เป็นประตูที่พิเศษ ไม่ใช่ใครจะยิงได้ครับ
สิ่งที่ได้เห็นหลังจากนั้นคือความพยายามของอาร์เซนอลที่จะเอาชนะ เช่นกันกับความพยายามของลิเวอร์พูลที่ไม่ถึงกับหวังชนะแต่ต้องการเอาตัวรอดกลับมาจากสมรภูมิแห่งนี้ให้ได้
ก่อนที่จะสิ้นเสียงนกหวีด เสมอ และจับมือกันอย่างมิตรภาพ
เกมนัดนี้เป็นเกมที่ดีมาก โดยนอกเหนือจากเรื่องของความสนุกสนานที่เกิดขึ้นแล้ว มันทำให้เราได้แง่คิดเหมือนกันนะครับว่า บางครั้งชีวิตคนเราอาจจะเหมือนตกอยู่ในวิกฤตที่มองไม่เห็นทางออก
แต่การเปลี่ยนแปลงบางอย่าง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงความคิดและความเชื่อของตัวเอง มันสามารถทำให้เกิดอะไรที่แตกต่างได้
เหมือนอาร์เซนอลกับลิเวอร์พูล ที่เราอาจเคยรู้สึกว่าระยะทางระหว่างสองทีมมันห่างไกล แต่ความจริงแล้วมันอาจจะไม่ได้ไกลกันอย่างที่คิด
อย่างน้อยก็สัมผัสได้ด้วยความรู้สึก
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
- เอเมอรีและคลอปป์เคยพบกันมาก่อนในศึกนัดชิงยูโรปา ลีก เมื่อปี 2016 โดยครั้งนั้นรายแรกยังเป็นโค้ชให้เซบียา ขณะที่รายหลังก็เพิ่งจะทำทีมได้ไม่ครบฤดูกาลดี
- เอเมอรีมีชัยในเกมที่ St. Jakob Stadium ในกรุงบาเซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และในเกมวันนั้น คลอปป์ได้เคยพูดประโยคสำคัญในการแถลงข่าวหลังจบเกมเอาไว้ว่า “วันหนึ่งจะมีคนพูดถึงเกมที่บาเซิลว่าคือจุดเริ่มต้นของอนาคตที่สดใสของลิเวอร์พูล”
- ประตูของ เจมส์ มิลเนอร์ เป็นประตูที่ 50 ในพรีเมียร์ลีก และเป็นประตูที่ 14 กับลิเวอร์พูล มากกว่าทุกสโมสรที่เขาเคยเล่นให้ และที่เหลือเชื่อคือ ใน 49 นัดที่เขาทำประตูได้ในพรีเมียร์ลีก ทีมไม่เคยแพ้
- การเสมอนัดนี้ทำให้อาร์เซนอลยังไม่แพ้ใครเป็นเกมที่ 14 ติดต่อกันในทุกรายการ ชนะ 12 เสมอ 2 ยิงได้ 36 และเสียเพียง 13 ประตู
- อาร์เซนอลสวมปลอกแขนไว้ทุกข์สีดำมีตราสัญลักษณ์ทีมเลสเตอร์ลงสนาม เพื่อร่วมไว้อาลัยให้แก่การจากไปของ วิชัย ศรีวัฒนประภา ประธานสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ที่เสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว