×

Kris Jenner จากแอร์โฮสเตสสู่คุณแม่ผู้จัดการจักรวาล Kardashian และ Jenner ที่ทรงอิทธิพลที่สุดของวัฒนธรรมป๊อป

14.09.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

8 Mins. Read
  • ตอนคริสอายุแค่ 17 ปี และยังเรียนอยู่มัธยมปลาย เธอก็ได้เจอกับทนายชื่อดังชาวอเมริกันเชื้อสายอาร์เมเนีย โรเบิร์ต จอร์จ คาร์ดาเชียน ที่อายุมากกว่าเธอ 11 ปี
  • แต่พอคริสอายุ 30 ชีวิตเธอเริ่มสั่นคลอน หลังเธอนอกใจสามีไปกับนักฟุตบอล และมีการหย่าร้าง พร้อมสู้กันในชั้นศาลเรื่องสิทธิค่าเลี้ยงดู ซึ่งโรเบิร์ตก็ระงับบัตรเครดิตของเธอทุกใบทันที
  • หลังคลอดลูกสาวคนสุดท้อง ไคลี เจนเนอร์ คริสกับบรูซก็ต้องดูแลลูกทั้งหมด 10 คน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นต่อมาคือ การเงินที่ไม่เพียงพอสำหรับครอบครัว คริสเลยตัดสินใจเป็นผู้จัดการบรูซ และอยากให้สามีเธอไปพูดบรรยายรอบประเทศ โดยคริสได้ทำเพรสกิต 7,000 ชุด และส่งไปตามบริษัทระดับโลกต่างๆ อาทิ Coca-Cola, Carl’s Junior, และ Visa Card ทางไปรษณีย์
  • ในปี 2007 คริสก็ได้ไปขายคอนเซปต์การทำเรียลิตี้โชว์แนว Docuseries ติดตามชีวิตของเธอและครอบครัวให้กับทางพิธีกรเบอร์หนึ่งของวงการอย่าง ไรอัน ซีเครสต์ ชื่อ Keeping Up With The Kardashians ที่คริสครองตำแหน่ง Executive Producer จนถึงทุกวันนี้กับซีซันที่ 15
  • คริสควบคุมครอบครัวทุกกระเบียดนิ้วในฐานะผู้จัดการของสมาชิกทุกคนภายใต้บริษัท Jenner Communications ที่เธอจัดตั้ง และมีหน่วยงานต่างๆ โดยเธอได้ส่วนแบ่ง 10% จากทุกโปรเจกต์ที่เธอปิดดีลให้แต่ละสมาชิกของครอบครัว

 

งาน The Business of Beauty ปี 2018 ที่นิวยอร์ก

 

ไม่ว่าเราจะอยู่ส่วนไหนของโลก ชีวิตมนุษย์เราสมัยนี้เหมือนถูกล้อมรอบไปด้วยข่าวสารหรือภาพของสมาชิกตระกูลคาร์ดาเชียนและเจนเนอร์อย่างไม่รู้จบ เดินอยู่ในสนามบิน โฆษณา Estée Lauder ของ เคนดัลล์ เจนเนอร์ ต้องมีให้เห็น, เดินในร้านหนังสือ นิตยสาร Forbes สหรัฐอเมริกากับปก ไคลี เจนเนอร์ ตั้งอยู่บนแผง, เปิดดูโทรทัศน์ คิม คาร์ดาเชียน เวสต์ กำลังให้สัมภาษณ์ช่อง CNN เรื่องช่วยคดี อลิซ มารี จอห์นสัน, เล่นอินสตาแกรม รูปลูกสาว โคลอี้ คาร์ดาเชียน ปรากฏอยู่ในหน้า Explore ที่มีคนกดไลก์เกิน 3 ล้าน

 

สิ่งเหล่านี้เป็นแค่ตัวอย่างบางส่วนที่จะให้เขียนต่อก็คงเขียนธีสิสได้หนึ่งเล่ม แต่แค่ภายใน 11 ปี ความสำเร็จในครั้งนี้ก็ต้องยกให้ผู้หญิงที่ชื่อ คริสเตน แมรี ฮอตัน หรือที่คนจะรู้จักในนาม คริส เจนเนอร์ คุณแม่ของคอร์ตนีย์, คิม, โคลอี้, ร็อบ, เคนดัลล์ และไคลี ที่เป็นเหมือนผู้คุมเครือข่ายครอบครัวนี้ทุกกระเบียดนิ้ว และทำให้ครอบครัวของเธอเป็นแบรนด์มูลค่าหมื่นๆ ล้าน ทั้งยังช่วยขับเคลื่อนวัฒนธรรมป๊อปคัลเจอร์อยู่ทุกวัน ทุกวินาที

 

จากบนไปล่าง: คริสตอนแต่งงานกับ โรเบิร์ต คาร์ดาเชียน และตอนแต่งงานกับ บรูซ เจนเนอร์

 

คริส เจนเนอร์ เกิดเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ปี 1955 ที่เมืองซานดิเอโก ในแคลิฟอร์เนีย เป็นลูกสาวคนโตของคุณแม่แมรี โจ ชานนอน และคุณพ่อโรเบิร์ต ทรู ฮอตัน ที่หย่ากันตอนเธออายุเจ็ดขวบ และคุณพ่อทิ้งครอบครัวไปอย่างถาวร

 

ตอนคริสอายุแค่ 17 ปี และยังเรียนอยู่มัธยมปลาย เธอก็ได้เจอกับทนายชื่อดังชาวอเมริกันเชื้อสายอาร์เมเนีย โรเบิร์ต จอร์จ คาร์ดาเชียน ที่อายุมากกว่าเธอ 11 ปี ณ สนามแข่งม้า Del Mar และได้เริ่มคบหากันอย่างจริงจัง แต่เธอก็ขอยังไม่ลงหลักปักฐาน และอยากเดินทางรอบโลกเพื่อหาประสบการณ์กับการเป็นแอร์โฮสเตสของ American Airlines จนอายุ 22 ปี ตอนโรเบิร์ตขอหมั้น และต่อมาได้แต่งงานกัน

 

ภายในปีแรกที่แต่งงาน คริสก็ตั้งครรภ์ลูกสาวคนแรก คอร์ตนีย์ แมรี คาร์ดาเชียน และต่อมาก็มีลูกด้วยกันอีกสามคน คิมเบอร์ลี โนเอล คาร์ดาเชียน, โคลอี้ อเล็กซานดรา คาร์ดาเชียน และโรเบิร์ต อาร์เธอร์ คาร์ดาเชียน ลูกชายคนเดียว โดยครอบครัวคาร์ดาเชียนเปรียบเสมือน American Dream ที่หลายคนใฝ่ฝันถึง อยากทั้งมีบ้านอยู่ในเบเวอร์ลีฮิลส์ พร้อมสระว่ายน้ำ ส่งลูกเรียนโรงเรียนเอกชน จัดงานปาร์ตี้วันเกิดที่บ้านเนฟเวอร์แลนด์ แรนช์ ของ ไมเคิล แจ็กสัน (วันเกิดคิมที่จัดคู่กับวันเกิด นิโคล ริชี) และช้อปปิ้งที่ห้างดังอย่าง Saks Fifth Avenue เป็นประจำ

 

คริสและบรูซ เจนเนอร์

 

 

แต่พอคริสอายุ 30 ชีวิตเริ่มสั่นคลอน หลังเธอนอกใจสามีไปกับนักฟุตบอลจนต้องหย่าร้าง พร้อมสู้กันในชั้นศาลเรื่องสิทธิค่าเลี้ยงดู ซึ่งโรเบิร์ตก็ระงับบัตรเครดิตของเธอทุกใบทันที แต่ในช่วงนั้นคริสก็ได้ไปออกเดตกับ บรูซ เจนเนอร์ อดีตนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิกชื่อดัง และทั้งคู่ก็หลงรักกันอย่างหัวปักหัวปำ 5 เดือนต่อมา บรูซก็ขอคริสแต่งงาน พร้อมไปขอโรเบิร์ตให้เซ็นใบหย่า ทันทีที่โรเบิร์ตยินยอม คริสกับบรูซก็แต่งงานกัน และพร้อมย้ายเข้าไปอยู่บ้านใหม่กับลูก 8 คน 4 คน จากฝั่งคริส 4 คน จากฝั่งบรูซ

 

ต่อมาช่วงปี 1994 คริสตั้งครรภ์อีกครั้งกับบรูซ ได้ลูกสาว เคนดัลล์ นิโคล เจนเนอร์ แต่ในช่วงนั้นคริสกับบรูซก็ได้กลายเป็นประเด็นอยู่ในข่าวดังของยุค 90s เกี่ยวกับคดีนักอเมริกันฟุตบอล โอ.เจ. ซิมป์สัน ที่ถูกข้อหาฆ่า นิโคล บราวน์ ภรรยาของตัวเอง ซึ่งคริสเป็นเพื่อนสนิทกับ นิโคล บราวน์ ส่วนโรเบิร์ต อดีตสามี ก็เป็นทนายและเพื่อนสนิทของ โอ.เจ. ซิมป์สัน ที่รอดคดีมาได้เช่นกัน

 

ต่อมาอีกสองปี ลูกสาวคนสุดท้อง ไคลี คริสเตน เจนเนอร์ ก็ลืมตาดูโลก และคริสกับบรูซก็ต้องดูแลลูกทั้งหมด 10 คน ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นคือ การเงินที่ไม่เพียงพอสำหรับครอบครัวที่จะใช้ชีวิตกับไลฟ์สไตล์ฟู่ฟ่า และส่งเสียค่าเรียนลูกๆ คริสเลยตัดสินใจว่าจะมาเป็นผู้จัดการบรูซ และคิดไอเดียส่งสามีไปพูด Motivational Speech หรือการไปบรรยายแบบให้แรงบันดาลใจในหัวข้อ ‘Finding the Champion Within’ ที่บรูซเคยพูดก่อนหน้านี้ในยุค 80s ตามบริษัทต่างๆ

 

คริสได้ทำเพรสกิตพร้อมโปรไฟล์ของบรูซ 7,000 ชุด และส่งไปตามบริษัทระดับโลก อาทิ Coca-Cola, Carl’s Junior, และ Visa Card เพื่อหวังว่าจะมีคนสนใจ ซึ่งก็มีจริงๆ และบรูซก็ตระเวนทั่วสหรัฐอเมริกาไปพูดตามบริษัทต่างๆ และสร้างรายได้ให้กับครอบครัว

 

คริสในยุค 90s

 

ไม่เท่านั้น พอบรูซเริ่มเป็นที่สนใจอีกครั้ง คริสก็ปิดดีลทำไลน์วิดีโอฟิตเนสออกกำลังกายที่ไปขายตามรายการแนะนำสินค้าที่ฮิตกันในสหรัฐอเมริกาช่วงนั้นชื่อ Super Fit With Bruce and Kris Jenner ที่คอนเซปต์เป็นบรูซสอนคริสออกกำลังกายท่าต่างๆ

 

กระโดดมาช่วงปี 2007 คริสไปขายคอนเซปต์การทำเรียลิตี้โชว์แนว Docuseries ติดตามชีวิตของเธอและครอบครัวให้กับทางพิธีกรเบอร์หนึ่งของวงการอย่าง ไรอัน ซีเครสต์ ซึ่งในตอนนั้นเป็นประเภทรายการที่กำลังรับความนิยมอย่างล้นหลาม เช่น ทางช่อง MTV กับรายการ The Osbournes, Laguna Beach, The Hills หรือ The Jersey Shore โดยไรอันก็สนใจและได้ติดต่อกับทางช่อง E! Entertainment ที่อยู่ภายใต้ NBC Universal และมี Comcast เป็นบริษัทพ่อให้ดูเทปเดโม่ที่ไปถ่ายชีวิตของครอบครัวคาร์ดาเชียนระหว่างปาร์ตี้บาร์บีคิวที่บ้านวันหนึ่ง

 

ซึ่งทาง E! Entertainment ก็ชอบ และ 8 เดือนต่อมา ก็มีรายการที่ชื่อ Keeping Up With The Kardashians ที่คริสครองตำแหน่ง Executive Producer จนถึงทุกวันนี้กับซีซันที่ 15 ซึ่งยังไม่รวมรายการ Spin Off อีกมากมาย ทั้ง Kim and Kourtney Takes New York, Life of Kylie และรายการพิเศษงานแต่งงานของคิมกับนักบาสเกตบอล คริส ฮัมฟรีย์ ที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยุติลงภายใน 72 วัน

 

รายการ Keeping Up With The Kardashians

 

พอกราฟความสำเร็จของรายการ Keeping Up With The Kardashians พุ่งขึ้นเรื่อยๆ และมีการนำไปฉายทั่วโลกกว่า 150 ประเทศ ความสนใจของแบรนด์ ‘Kardashians’ ก็ถือว่าทวีคูณ และคริสเองก็เริ่มควบคุมครอบครัวทุกกระเบียดนิ้ว ในฐานะผู้จัดการของสมาชิกทุกคนภายใต้บริษัท Jenner Communications ที่เธอจัดตั้ง และมีหน่วยงานต่างๆ เช่น พีอาร์ที่พร้อมวางแผนให้ทั้งหมด แถมสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวจะมีผู้ช่วยเป็นของตัวเอง ที่ทำงานเหมือนเครือข่ายเชื่อมโยงกับผู้ช่วยของคนอื่น โดยมีศูนย์กลางเป็นคริส มากไปกว่านั้นแต่ละคนก็จะมีช่างแต่งหน้า ช่างทำผม และสไตลิสต์ที่พร้อมตลอดเวลา เพราะทุกวินาทีที่แต่ละคนโดนถ่ายรูปในที่สาธารณะ หรือแค่ภาพอินสตาแกรมสตอรีก็ต้องดูเพอร์เฟกต์ตั้งแต่หัวจรดเท้า

 

แต่ละสมาชิกจะทำธุรกิจอะไร เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าอะไร หรือจะลงรูปอะไรในอินสตาแกรม ที่รวมถึงพวกโฆษณา Paid Partnership ต่างๆ ทางคริสก็จะเป็นคนจัดการและปิดดีลให้หมด พร้อมได้ค่าตัวเป็นผู้จัดการ 10% ซึ่งในช่วง 5 ปีแรก คริสจะเน้นทำดีลให้ลูกๆ ไปงานเปิดตัวคลับที่ลาสเวกัส งานโชว์ตัวต่างประเทศ และเป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์ต่างๆ ไม่รู้จบ ตั้งแต่ไลน์เสื้อผ้า Kardashian Collection กับห้างฯ Sears, น้ำหอม, บัตรเครดิต, ยาลดความอ้วน, เครื่องสำอาง, หนังสือ, ร้านเบอร์เกอร์, เลเซอร์กำจัดขน หรือแม้แต่น้ำยาทาเล็บ OPI ที่ทั้งหมดช่วยทำให้อาณาจักรคาร์ดาเชียนรับทรัพย์เป็นพันๆ ล้านทุกปี

 

คริสฉลาดในการแตกกลุ่มฐานแฟนคลับของลูกๆ แต่ละคนให้เป็นพรีเซนเตอร์สินค้าในกลุ่มผู้บริโภคที่ต่างกันออกไป และช่วยให้คนรู้จักตระกูลคาร์ดาเชียนทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ โดยหลายสินค้า คริสก็จะเชื่อมต่อเข้ากับรายการ Keeping Up With The Kardashians ให้ปรากฏอยู่ในรายการเชิง Product Placement และเพิ่ม Value ให้สินค้าเป็นที่รู้จัก และบริษัทอยากจ้างต่อไปเรื่อยๆ

 

คอลเล็กชัน Mother’s Day ปี 2018 ของ Kylie Cosmetics

 

แต่ปัญหาของการที่แต่ละสมาชิกของตระกูลคาร์ดาเชียนเป็นพรีเซนเตอร์คือ พวกเธอได้แค่ส่วนแบ่งค่าตัว และมีความไม่เสถียรตรงที่บางผลิตภัณฑ์เลิกจ้าง จนกลายเป็นข่าวลือต่างๆ ว่าเพราะยอดขายไม่ขึ้น หรือพวกเธอทำงานแล้วเรื่องมาก ซึ่งก็ส่งผลกระทบต่อแบรนด์คาร์ดาเชียน ทำให้ใน 5 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นคริสปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ เริ่มให้ลูกๆ สร้างและลงทุนทำแบรนด์ของตัวเองไปเลย พร้อมรับผลกำไรแบบเต็มๆ เช่น โคลอี้กับแบรนด์เสื้อผ้า Good American, ร็อบกับแบรนด์ถุงเท้า Arthur Socks, คิมกับบริษัทความงาน KKW Beauty และที่คริสดูเหมือนจะโฟกัสที่สุด (เพราะน่าจะประสบความสำเร็จสุด) คือ Kylie Cosmetics ของลูกสาวคนเล็ก ที่กำลังก้าวเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดของสหรัฐอเมริกา

 

สิ่งที่ทำให้แบรนด์เหล่านี้ประสบความสำเร็จ ต้องยกให้พลังของโซเชียลมีเดียที่ตระกูลนี้มีเกิน 800 ล้านคน พอรวมทุกแพลตฟอร์ม ซึ่งนั่นแปลว่าเมื่อจะขายหรือโปรโมตอะไรสักอย่าง ภาพที่ออกไปก็จะถึงมือแฟนคลับเป็นร้อยๆ ล้านภายในคลิกเดียว โดยไม่ต้องไปจัดอีเวนต์ In Store หรือลงโฆษณาในสื่ออื่นๆ ยกเว้นแค่ให้สมาชิกในครอบครัวช่วยแชร์ภาพ ซึ่งตระกูลนี้ก็ทำอยู่เป็นประจำ

 

ส่วนตัวคริสก็มาร์เก็ตติ้งตัวเองเป็นแบรนด์พร้อมพรีเซนเตอร์ เช่น ยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศสำหรับผู้หญิงสูงวัย มีรายการทอล์กโชว์ของตัวเอง และมีการจดลิขสิทธิ์คำว่า ‘Momager’ (Mother + Manager) ที่เธอตั้งขึ้นมาสำหรับบทบาทของตัวเอง แล้วยังออกผลิตภัณฑ์ในชื่อนี้ตามออกมาด้วย แถมสินค้าบางตัว เธอก็จะไปร่วมเป็นพรีเซนเตอร์กับลูกๆ ที่ขายเป็นแพ็กเกจครอบครัว แบรนด์เครื่องสำอาง Kylie Cosmetics ของไคลี เธอก็ไปร่วมทำคอลเล็กชันพิเศษสำหรับวันแม่ หรือล่าสุดกับแคมเปญ ‘Me and My Peekabo’ ของแบรนด์ลักชัวรี Fendi คู่กับคิมและลูกสาวคนโตของ คิม นอร์ธ เวสต์ ซึ่งคงไม่แปลกถ้าต่อไปคริสยังจะดูแลงานการของหลานๆ รุ่นต่อไปอีกด้วย

 

ผลิตภัณฑ์ที่คริสเคยเป็นพรีเซนเตอร์

 

แต่สำหรับลูกสาวเคนดัลล์ที่เป็นซูเปอร์โมเดลแห่งยุค คริสก็จะทำงานควบคู่กับเอเจนซี Elite Model และ The Society Management เพื่อจัดสรรเวลาให้เคนดัลล์สามารถไปเดินรันเวย์รอบโลกและถ่ายแบบโฆษณาต่างๆ แต่ก็ต้องกลับมาถ่ายรายการ Keeping Up With The Kardashians ในลอสแอนเจลิสตามสัญญา ซึ่งทางครอบครัวเพิ่งเซ็นสัญญาต่อกับช่อง E! ไปจนถึงปี 2020 กับค่าตอบแทนที่ลือกันว่าสูงถึงแปดหลัก

 

การควบคุมดูแลภาพลักษณ์ของครอบครัวก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่คริสต้องดูแลกับอาณาจักรคาร์ดาเชียนมาโดยตลอด เพราะจำนวนข่าวสารที่สื่อไม่ว่าจะเป็น CNN, Vanity Fair หรือ People เขียนถึง ทุกฝีก้าวเกี่ยวกับครอบครัวนี้ก็ส่งผลทั้งแง่ดีและแง่ร้ายได้หมด แถมในยุคที่โซเชียลมีเดียมีบทบาทมากยิ่งขึ้น ทุกอย่างในวงการบันเทิงก็มีความเปราะบางมากขึ้น ถ้าหนึ่งในสมาชิกแค่ไปคอมเมนต์หรืออันฟอลโลว์ใครบนอินสตาแกรมก็จะเป็นประเด็นใหญ่โตไปหมด

 

เราเลยไม่แปลกใจถ้าตอนนี้หากใครเดินเข้าบ้านเธอที่ลอสแอนเจลิส ซึ่งเป็นสถานที่หลักในการถ่ายทำ Keeping Up With The Kardashians ก็จะมีกล้องติดตั้งทุกมุม ทุกคนจะต้องมีการเซ็นสัญญาปกปิดความลับหลายฉบับ เพื่อห้ามให้อะไรหลุดออกไปเด็ดขาด เพราะสมมติมีคนไปได้ยินเกี่ยวกับโปรเจกต์ต่อไปของครอบครัว หรือไปแอบถ่ายรูปหลานที่เกิดใหม่ พวกนี้ก็เป็นเงินและมูลค่าทั้งหมด โดยตลอด 11 ปีที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นมีการ Turnover เปลี่ยนทีมงาน เช่น ช่างแต่งหน้าหรือผู้ช่วยอยู่บ่อยครั้ง เพราะมีการไปขายข่าว หรือเอาเปรียบตระกูลคาร์ดาเชียนในวิธีต่างๆ

 

 

 

อีกตัวอย่างสำคัญคือ เมื่อปี 2017 หลังจากที่บรูซได้แปลงเพศเป็นผู้หญิงชื่อ เคทลิน เจนเนอร์ ได้ 2 ปี เธอก็ได้เขียนหนังสือชีวประวัติ The Secrets of My Life ซึ่งในหนังสือเคทลินได้กล่าวว่า คริสรู้มาตลอดว่าเธออยากเป็นผู้หญิง แต่บอกให้ปกปิด และยังกล่าวว่า คริสมีการโกงเงินช่วงที่เขาไปพูดบรรยาย เป็นต้น ซึ่งก็สร้างข่าวฉาวอย่างรุนแรง และทำให้ภาพลักษณ์คริสเสีย จนต้องทำ ‘Crisis Management’ ให้ลูกสาวออกมาปกป้องผ่านรายการ Keeping Up With The Kardashians หรือตอนสัมภาษณ์ออกรายการต่างๆ

 

ทุกวันนี้ด้วยวัย 62 ปี คริสยังคงเต็มไปด้วยพลัง และไม่หยุดที่จะผลักดันครอบครัวเธอให้ก้าวสู่สมรภูมิของวัฒนธรรมป๊อปที่ไม่มีครอบครัวไหนเคยทำได้และมีอิทธิพลเทียบเท่าครอบครัวเคนเนดี, คลินตัน หรือโอบามา

 

สิ่งที่เราต้องเชิดชูและซูฮกเธอคือ นาทีที่เธอได้ส่งเพรสกิต 7,000 ชุดออกไป เพื่อต้องการหารายได้ให้ครอบครัว เธอไม่เคยหยุดการเดินหน้า ที่เปรียบเสมือนรถไฟเหาะที่มีขึ้น มีลง มีกำลัง และเครื่องยังไม่ดับ

 

แคมเปญ ‘Me and My Peekaboo’ ของ Fendi

 

แต่มากไปกว่าความสำเร็จ เม็ดเงิน ยอดไลก์ ยอดแชร์ ที่เรามักสนใจกัน สิ่งที่คนเราอาจนำไปปรับใช้ในชีวิตได้จากคริสคือ การที่เธอสามารถเดินหน้าต่อไปกับจักรวาลคาร์ดาเชียนได้ เพราะเธอคือเสาหลักของครอบครัว และปลูกฝังให้ลูกทุกคนรักและช่วยเหลือกัน และถ้าใครคิดว่ามีความเฟกหรือปรุงแต่ง เราก็มองว่าคนเราจะมาใส่หน้ากาก 11 ปีที่อยู่ในสปอต์ไลต์ คงไม่ใช่เรื่องง่ายและคงพังไปนานแล้ว

 

หากใครไม่เคยรู้จัก คริส เจนเนอร์ มาก่อน เราขอแนะนำให้พิมพ์ว่า ‘Kris Jenner Funny Moments’ ในยูทูบ และดูคลิปต่างๆ ของเธอ เพราะภายในไม่กี่คลิปคุณอาจจะเจอสมาชิกครอบครัวคาร์ดาเชียนคนโปรดคนใหม่ และบอกตัวเองว่า ถ้าคุณแม่ของเราทำแบบนี้บ้างก็คงโคตรบ้า แต่ชีวิตก็จะโคตรมีสีสัน

 

“I say this all the time, but when I go to bed at the end of the day, and I put my head down on the pillow, I really feel such a sense of satisfaction, and I’m so proud of my kids that they have this amazing work ethic, and we get to work with each other every day, so it doesn’t get any better than that.” – Kris Jenner

 

 

 

Photo: giphy.com
 

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X