×

ในวันที่แมนเชสเตอร์ต้องการคำว่า United มากกว่าวันไหน

28.08.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

5 Mins. read
  • สกอร์ 0-3 ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภาพสะท้อนว่าฟอร์มการเล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้นเลวร้ายเข้าขั้นอดสู ‘ปีศาจแดง’ สู้แล้ว เพียงแต่พวกเขาสู้ความเฉียบคมของสเปอร์สไม่ได้ในเกมนี้
  • ในห้องแถลงข่าว The Special One กล่าวว่า แฟนบอลคือผู้พิพากษาที่ดีที่สุด (ในทำนองประชดประชันต่อผู้สื่อข่าวที่พยายามเล่นงานเขา) และในวันนี้มีแฟนฟุตบอลที่ปรบมือให้กำลังใจผู้เล่นหลังเกมจบลง ซึ่งก็เป็นการบ่งบอกว่าสิ่งที่เขาพยายามทำในวันนี้มีคนมองเห็นคุณค่าและความหมาย
  • มูรินโญเลือกจะมองความจริงแค่บางส่วนในส่วนที่เขาต้องการมอง เขาเลือกจะฟังความจริงบางอย่างในสิ่งที่เขาอยากได้ยิน และเขาเลือกจะพูดในบางเรื่องที่เขาอยากจะพูด
  • คริส ซัตตัน อดีตศูนย์หน้าในตำนานของแบล็กเบิร์น โรเวอร์สและเชลซีเองก็ตั้งข้อสงสัยในระหว่างการวิเคราะห์เกมทางสถานีวิทยุ BBC Radio 5 live ว่า ดูเหมือนนักเตะปีศาจแดงจะไม่อยากเล่นเพื่อมูรินโญอีกต่อไปแล้ว

ภาพของ โฆเซ มูรินโญ ที่เดินหัวร้อนออกจากห้องแถลงข่าวหลังจบเกมการแข่งขันที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พ่ายต่อ ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ คา ‘โรงละครแห่งความฝัน’ ถึง 0-3 กลายเป็นภาพที่ถูกส่งต่อกันในโลกออนไลน์มากที่สุดในเช้าวันนี้

 

Respect! Respect! Respect! 3 คำสุดท้ายที่มูรินโญกล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ก็น่าจะเป็นคำที่มูรินโญถูกนำมาล้อเล่นกันอีกนานหลังจากนี้ เพราะแม้แต่ผู้สื่อข่าวที่นั่งในห้องยังหัวเราะครืนด้วยอารมณ์ไม่เข้าใจว่าผู้จัดการทีมชาวโปรตุเกสจะเดือดอะไรนักหนา

 

อย่างไรก็ดี ก็เหมือนทุกเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลก ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งความจริงหรือโลกเสมือนจริง เราไม่สามารถจะตัดสินเรื่องราวทั้งหมดได้เพียงสิ่งที่เห็นครับ

 

หากได้ชมเกมจะเห็นได้ว่า สกอร์ 0-3 ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ภาพสะท้อนว่าฟอร์มการเล่นของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนั้นเลวร้ายเข้าขั้นอดสู และไม่ใช่ไม่สู้ เพราะ ‘ปีศาจแดง’ สู้แล้ว เพียงแต่พวกเขาสู้ความเฉียบคมของสเปอร์สไม่ได้ในเกมนี้

 

วันนี้มูรินโญตัดสินใจเปลี่ยนแปลงผู้เล่นมากถึง 6 ตำแหน่งจากวันที่พ่ายต่อไบรจ์ตัน กับระบบการเล่นที่ทำให้สับสนอย่างระบบกองหลัง 3 ตัว (บ้างก็ว่า 3-3-3-1 บ้างก็ว่า 3-5-2) โดยมี อันเดร์ เอร์เรรา ลงประจำการในตำแหน่งกองหลังด้วย

 

ระบบการเล่นใหม่ทำให้ทีมที่เล่นได้อย่างเลวร้ายไร้ชีวิตชีวาในเกมที่แล้วกลับมาเดินเครื่องได้อย่างคึกคัก และสร้างปัญหาให้กับสเปอร์สได้เป็นอย่างดีตลอด 45 นาทีแรก

 

สิ่งที่มูรินโญตอบคำถามผู้สื่อข่าวในระหว่างการแถลงข่าวนั้นไม่ผิด ทีมของพวกเขาทำได้ดี โดยเฉพาะในเชิงกลยุทธ์ การเพรสซิ่งสูง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยูไนเต็ดแทบไม่เคยทำมาก่อนเลย เช่นเดียวกับการเล่นอย่างดุดัน วิ่งสู้ฟัด ก็เป็นสิ่งที่แทบไม่ปรากฏมาก่อน

 

หากถามใจแฟนปีศาจแดง คำตอบที่ได้อาจเป็นความพอใจที่เห็นทีมแสดงให้เห็นถึงความพยายามบ้าง

 

เพียงแต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่ความพยายามจะไม่ทำร้ายใคร

 

การจะเป็นผู้ชนะในเกมต้องมีมากกว่านั้น และสเปอร์สแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นทีมที่ดีกว่าเมื่อเข้าสู่ครึ่งเวลาหลัง

 

สเปอร์สดีกว่าตรงไหน?

 

ทีมของ เมาริซิโอ โปเชตติโน เหนือกว่าชัดเจนคือความเฉียบคม เมื่อมีโอกาสพวกเขามักไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปง่ายๆ ซึ่งในเกมนี้หากมองที่สถิติการยิงประตู ตลอด 90 นาทีพวกเขามีโอกาสเพียง 9 ครั้ง (เทียบกับยูไนเต็ดที่ยิง 23 ครั้ง) และเป็นการยิงเข้ากรอบ 5 ครั้ง (เท่ากับยูไนเต็ด) แต่พวกเขาได้กลับมา 3 ประตู หรือคิดเป็น 60% ของโอกาสการยิงเข้ากรอบ

 

ในทางตรงกันข้าม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีโอกาสที่จะทำประตูหลายครั้งในเกมนี้ ไม่ว่าจะจาก เฟรด ที่ได้โอกาสตั้งแต่ไม่กี่วินาทีแรกของเกม มาจนถึง โรเมลู ลูกากู ซึ่งพลาดโอกาสทองอย่างเหลือเชื่อในจังหวะที่ แดนนี่ โรส จ่ายคืนหลังพลาดและพาบอลหนี อูโก โยริส ได้แล้ว แต่กลับยิงออกอย่างเหลือเชื่อ

 

โอกาสเหล่านี้รวมถึงโอกาสอื่นๆ หากเปลี่ยนเป็นสกอร์บ้าง บางทีผลการแข่งขันอาจจะสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นในเกมได้มากกว่านี้ครับ

 

เพียงแต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่นำมาอ้างได้ และมูรินโญเองก็ไม่ได้คิดจะนำมาอ้างด้วย

 

ในห้องแถลงข่าว The Special One กล่าวว่า แฟนบอลคือผู้พิพากษาที่ดีที่สุด (ในทำนองประชดประชันต่อผู้สื่อข่าวที่พยายามเล่นงานเขา) และในวันนี้มีแฟนฟุตบอลที่ปรบมือให้กำลังใจผู้เล่นหลังเกมจบลง ซึ่งก็เป็นการบ่งบอกว่าสิ่งที่เขาพยายามทำในวันนี้มีคนมองเห็นคุณค่าและความหมาย

 

อย่างไรก็ดีเรื่องนี้เป็นความจริงบางส่วนครับ เพราะอีกส่วนคือมีแฟนฟุตบอลอีกจำนวนไม่น้อยที่เดินทางกลับก่อนที่เกมจะจบลงหลังทีมตามหลังถึง 0-3 ซึ่งมูรินโญเองก็รู้และบอกว่าหากเป็นเขาเองก็คงทำแบบเดียวกัน เพราะการเดินทางกลับไปใจกลางเมือง (ซึ่งเขาพักอาศัยในโรงแรมย่านกลางเมือง) นั้นใช้เวลาถึง 2 ชั่วโมง

 

ความจริงบางส่วนนี้เองที่เป็นอันตรายต่อตัวเขาเอง

 

มูรินโญเลือกจะมองความจริงแค่บางส่วนในส่วนที่เขาต้องการมอง เขาเลือกจะฟังความจริงบางอย่างในสิ่งที่เขาอยากได้ยิน และเขาเลือกจะพูดในบางเรื่องที่เขาอยากจะพูด

 

ความจริงที่แท้จริงของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเวลานี้คือ พวกเขาเป็นทีมที่กำลังแตกสลาย ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้สมกับคำว่า ‘United’ ที่เป็นชื่อของสโมสรแม้แต่น้อย

 

หัวไปทาง หางไปทาง

 

ในขณะที่มูรินโญกำลังคิดและพยายามจะแก้ไข ด้วยตระหนักรู้ว่าสถานการณ์ในเวลานี้ของเขาสุ่มเสี่ยงอย่างมากต่อการตกงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ชื่อของ ซีเนดีน ซีดาน กำลังถูกพูดถึงอย่างมากไม่ว่าจะในวงสนทนาของแฟนฟุตบอลหรือในพื้นที่สื่อ

 

แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับจากลูกทีมคือการเล่นที่มีข้อสงสัยว่า พวกเขายังปรารถนาที่จะลงสนามรับใช้เจ้านายคนนี้อีกไหม

 

เฮนรี วินเทอร์ นักเขียนลูกหนังชื่อดังเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังสิ้นเสียงนกหวีดสุดท้ายว่า มูรินโญได้เดินลงสนามไปจับมือกับ ลุค ชอว์ ลูกทีมที่ถูกเขากระตุ้นด้วยวิธีการรุนแรงจนกลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง ก่อนจะร่ำลาผู้ตัดสินในสนาม

 

หลังจากนั้นมูรินโญเดินไปถึง พอล ป็อกบา ซึ่งกำลังคุยกับ แซร์ช ออริเยร์ แบ็กขวาของสเปอร์ส ปรากฏว่าสีหน้าของป็อกบาดูไม่สบอารมณ์นัก เมื่อได้เห็นเจ้านายที่มีกระแสข่าวหนาหูว่าทั้งคู่ไม่กินเส้นกันอย่างรุนแรงในระยะหลัง

 

ผู้เล่นคนอื่นๆ ในทีมก็เหนื่อยและหน่ายกับนิสัยเอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่นของมูรินโญ (เหมือนในวันนี้ที่เชื่อว่าทีมทำได้ดี ขณะที่สัปดาห์ก่อนวิพากษ์แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ว่าไม่มีคลาส)

 

คริส ซัตตัน อดีตศูนย์หน้าในตำนานของแบล็กเบิร์น โรเวอร์สและเชลซีเองก็ตั้งข้อสงสัยในระหว่างการวิเคราะห์เกมทางสถานีวิทยุ BBC Radio 5 live ว่า ดูเหมือนนักเตะปีศาจแดงจะไม่อยากเล่นเพื่อมูรินโญอีกต่อไปแล้ว

 

ไม่นับความไม่ลงรอยกับผู้บริหารอย่าง เอ็ด วูดเวิร์ด ซึ่งก็คิดไปคนละทิศละทาง จนสุดท้ายกลายเป็นชนวนความขัดแย้งที่บ่อนทำลายสิ่งดีๆ ที่พยายามร่วมสร้างกันมาเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

 

ในสถานการณ์แบบนี้ความใจร้อนไม่มีประโยชน์ เช่นเดียวกันกับความเฉยชา ความหัวดื้อ และการโทษกันไปมา

 

แมนเชสเตอร์​ ยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่ยิ่งใหญ่ และพวกเขาดีพอที่จะกลับมาจากขุมนรกได้ทุกเมื่อ

 

เพียงแต่เวลานี้สิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือความสามัคคี

 

ยามวิกฤตแบบนี้คือช่วงเวลาวัดใจ ทีมจะรอดหรือร่วงอยู่ที่ว่าจะยื่นมือมาช่วยเหลือกันไหม ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกัน ลืมทุกเรื่องที่เกิดขึ้นไปก่อนและเอาสโมสรเป็นที่ตั้ง โอกาสที่ยูไนเต็ดจะกลับมาตั้งหลักใหม่นั้นเป็นไปได้

 

มองตัวอย่างจากสเปอร์สก็ได้ พวกเขาผิดหวังจากฤดูกาลที่แล้ว พวกเขาไม่ได้ซื้อใครเข้ามาเสริมทีมแม้แต่รายเดียว แต่ เมาริซิโอ โปเชตติโน กับลูกทีมและผู้บริหารยังเดินหน้าไปด้วยกันต่อ และผลลัพธ์ที่ได้คือชัยชนะรวด 3 นัดแรก

 

แต่แน่นอนครับว่ามูรินโญย่อมเป็นคนที่เป็นศูนย์กลางของเรื่องทั้งหมดในตอนนี้

 

โดยที่ยากจะตอบว่า ณ เข็มนาฬิกาเดินไป คนอื่นจะยังอยากเดินไปพร้อมกับเขาอยู่ไหม

 

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

FYI
  • การแพ้ในเกมนี้ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีกได้เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1992-1993 หรือฤดูกาลแรกของพรีเมียร์ลีก ด้วยการแพ้ 2 ชนะ 1
  • แต่ในฤดูกาลนั้นพวกเขากลับมาเป็นแชมป์ได้ในบั้นปลาย
  • หลังล้างอาถรรพ์ที่ไม่เคยทำประตูได้ในเดือนสิงหาคมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว วันนี้ แฮร์รี เคน ทำประตูแรกในการพบกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดที่โอลด์แทรฟฟอร์ดได้ด้วย
  • เมื่อวันศุกร์ มูรินโญปั่นหัวนักข่าวด้วยการเปิดแถลงข่าวก่อนถึงเวลา 30 นาที และใช้เวลาแค่ 4 นาทีกับอีก 29 วินาทีในการแถลงข่าวสั้นๆ แบบถามคำตอบคำ
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X