×

3 ธุรกิจไปต่อไม่ไหว ปิดตัวเฉียด 1.7 หมื่นราย ชี้ 2026 ปีแห่งการประคองตัว ‘ไม่ถึงกับทรุด แต่ยังไม่พ้นทางชัน’

29.12.2025
  • LOADING...
3 ธุรกิจไปต่อไม่ไหว ปิดตัวเฉียด 1.7 หมื่นราย ชี้ 2026 ปีแห่งการประคองตัว ‘ไม่ถึงกับทรุด แต่ยังไม่พ้นทางชัน’

2025-2026 ยังคงเป็นปีแห่งการประคองตัวธุรกิจไทย! เผย 11 เดือน ธุรกิจปิดตัวเฉียด 1.7 หมื่นราย แม้โรงแรม-ขนส่ง-ขายส่ง โตสวนกระแส ขณะที่ทุนนอก ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, สหรัฐฯ, จีน และฮ่องกง ขนเงินลงทุนไทยกว่า 2 แสนล้านบาท ด้าน สศอ. มองปีหน้า 2026 โอกาสใหม่ 3 อุตสาหกรรม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์-EV-อาหารสัตว์

 

พูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ผลวิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนพฤศจิกายน 2568 พบว่า มีธุรกิจจัดตั้งใหม่ 5,554 ราย เมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนพฤศจิกายน 2567 (6,266 ราย) ลดลง 712 ราย คิดเป็น 11% จากสถิติข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า ‘เศรษฐกิจโดยรวมอยู่ในภาวะชะลอตัว’

 

ทั้งนี้ เมื่อวิเคราะห์อัตราการเติบโตของการจัดตั้งธุรกิจใหม่ พบว่า มี 3 ประเภทธุรกิจที่ขยายตัวอย่างน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2567 (YoY) คือ

 

  1. ธุรกิจโรงแรม รีสอร์ตและห้องชุด
  2. ธุรกิจการขายส่งสินค้าทั่วไปโดยได้รับค่าตอบแทนฯ
  3. ธุรกิจการขนส่งและขนถ่ายสินค้า

 

ขณะที่การจัดตั้งใหม่ช่วง 11 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีจำนวน 80,064 ราย เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนของปี 2567 (83,219 ราย) ลดลง 3,155 ราย คิดเป็น 4% ทุนจดทะเบียนตั้งใหม่ 11 เดือน สะสมอยู่ที่ 250,852 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 (262,850 ล้านบาท) ลดลง 11,999 ล้านบาท คิดเป็น 5%

 

ส่วนการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนพฤศจิกายน 2568 มีจำนวน 2,494 ราย เมื่อเทียบแบบปีต่อปี (YoY) กับเดือนพฤศจิกายน 2567 (2,852 ราย) ลดลง 358 ราย คิดเป็น 13%

 

การจดทะเบียนเลิกช่วง 11 เดือนของปี 2568 (มกราคม-พฤศจิกายน) มีจำนวน 16,671 ราย ลดลง 943 ราย คิดเป็น 5% เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนของปี 2567 (17,614 ราย) ทุนจดทะเบียนเลิก 11 เดือน สะสมอยู่ที่ 88,797 ล้านบาท ลดลง 47,281 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วง 11 เดือนของปี 2567 (136,078 ล้านบาท)

 

ทั้งนี้ ในช่วงปี 2568 ไตรมาส 3 ธุรกิจที่ปิดตัวมากสุด ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และภัตตาคาร/ร้านอาหาร เนื่องจากปัจจัยเศรษฐกิจซบเซา ต้นทุนสูง และการปรับตัวของผู้ประกอบการ ทำให้ธุรกิจเหล่านี้ได้รับผลกระทบหนัก

 

5 ประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยสูงสุด

 

  1. ญี่ปุ่น 169 ราย คิดเป็น 17% เงินลงทุน 82,505 ล้านบาท
  2. สิงคโปร์ 146 ราย คิดเป็น 15% เงินลงทุน 100,265 ล้านบาท
  3. สหรัฐอเมริกา 137 ราย คิดเป็น 14% เงินลงทุน 5,038 ล้านบาท
  4. จีน 133 ราย คิดเป็น 14% เงินลงทุน 33,119 ล้านบาท
  5. ฮ่องกง 104 ราย คิดเป็น 11% เงินลงทุน 14,496 ล้านบาท

 

ด้าน ศุภกิจ บุญศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า แนวโน้มภาคอุตสาหกรรมในปี 2569 ประเมินว่า ‘อุตสาหกรรมดาวเด่น’ ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับแรงหนุนจากโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ของโลก ได้แก่

 

  • อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เติบโตตามตลาด AI และ IoT
  • อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน (xEV) ที่ขยายตัวตามความต้องการตลาด มาตรการ EV3.0 และ EV3.5 ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content)
  • อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง (HDD) ซึ่งไทยเป็นฐานการผลิต HDD ความจุสูงเพื่อรองรับ Data Center
  • อุตสาหกรรมอาหารและอาหารสัตว์สำเร็จรูปที่มีความพร้อมด้านวัตถุดิบและมาตรฐานการผลิต สามารถตอบสนองความต้องการบริโภคและตลาดสัตว์เลี้ยง ที่ขยายตัวต่อเนื่อง

 

อุตสาหกรรมที่ต้องเร่งปรับตัว

 

  • อุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE)
  • โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม
  • เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน
  • สิ่งทอ
  • เฟอร์นิเจอร์และส่วนประกอบ

 

ทั้งนี้ อุตสาหกรรมเหล่านี้กำลังเผชิญทั้งแรงกดดันจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้า ภาระหนี้ครัวเรือน การทะลักของสินค้านำเข้า ต้นทุนการผลิตที่สูง และมาตรการด้านภาษีและสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ทำให้จำเป็นต้องปรับตัวเชิงโครงสร้างเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

 

โดย เกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ชี้ว่า ปี 2568 นับว่าเป็นปีแห่งการประคองตัว อาจจบลงด้วยภาวะ ‘รถติดหล่ม’ ซึ่งการจะดึงเศรษฐกิจขึ้นจากหล่มจำเป็นต้องใช้ ‘พลังและงบประมาณมหาศาล’ และอาจต้องใช้เวลา ขณะที่กลุ่มธุรกิจ SME มองว่าปีนี้เศรษฐกิจไม่สู้ดี และปีหน้าอาจไม่ถึงกับทรุด แต่ยังไม่พ้นทางชัน

 

ภาพ: Malte Mueller / Getty Image

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising