สวัสดีครับ คุณผู้อ่าน ยุคเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังในภูมิภาคอาเซียน จากข้อมูลและบทวิเคราะห์ล่าสุดในรายงาน ASEAN-6 eReadiness 2025 โดย PwC ประเทศมาเลเซีย สะท้อนภาพชัดเจนว่า อาเซียนกำลังเข้าสู่ยุคแห่งยานยนต์ไฟฟ้า (electric vehicle: EV) ด้วยอัตราการเติบโตที่ร้อนแรง ทั้งจากแรงผลักดันด้านเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และความคาดหวังทางเศรษฐกิจ
รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาให้ความสนใจรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ตามกระแสโลกที่มุ่งสู่พลังงานสะอาด บรรดาผู้ผลิตและผู้กำหนดนโยบายในอาเซียนจึงต้องเร่งปรับตัวให้ทันความต้องการที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่ใช่แค่ในเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังต้องรับมือกับโจทย์ใหญ่อย่างการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จและการสนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึง EV ได้จริง
ตลาด EV ในอาเซียนกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด
รายงานของ PwC ฉบับนี้ ได้ศึกษาถึงการขยายตัวของตลาดรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า โดยครอบคลุมหกประเทศสำคัญในอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สิงคโปร์ และไทย โดยพบว่ายอดขาย xEV ในกลุ่มอาเซียน-6 เติบโตสูงถึง 62% ในไตรมาสที่สามของปีนี้ (หรือคิดเป็นสัดส่วนการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้โดยเฉลี่ยที่ 17%) สวนทางกับยอดขายรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ลดลง 1.5%
ตัวเลขนี้สะท้อนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญในวงการยานยนต์ของภูมิภาค ซึ่งไม่ใช่แค่การเปลี่ยนรูปแบบการขับเคลื่อน หากแต่เป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าผู้บริโภคอาเซียนเริ่มยอมรับและให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีสะอาดอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น
ความต้องการที่เพิ่มขึ้นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผล โดยรายงานฉบับนี้อ้างอิงจากการศึกษาดัชนีความพร้อมทางอิเล็กทรอนิกส์ (eReadiness 2025) ของ PwC ซึ่งสำรวจผู้ตอบแบบสอบถามกว่า 18,000 คนใน 28 ประเทศทั่วโลก เพื่อทำความเข้าใจถึงความต้องการในการเดินทางและระบบนิเวศของ e-mobility ที่กำลังขยายตัวอย่าง EV
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตา คือ การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า เมื่อผู้ผลิตจากจีนและแบรนด์ท้องถิ่นเริ่มเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดจากผู้เล่นดั้งเดิมอย่างญี่ปุ่นและยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) และรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ที่มีราคาจับต้องได้มากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้จึงไม่ใช่เพียงการแข่งขันด้านราคา หากแต่เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคได้เลือกเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ชีวิตยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือความคุ้มค่าในการเป็นเจ้าของรถ
พฤติกรรมผู้บริโภคพร้อมรับ EV แต่ราคา-โครงสร้างพื้นฐานยังเป็นโจทย์ใหญ่
แม้จะมีสัญญาณเชิงบวกจากยอดขายที่เติบโตและความตื่นตัวในภาคประชาชน โดยมากถึง 80% ของผู้ตอบแบบสอบถามชาวไทยกล่าวว่าตนมีแผนจะซื้อ EV ในอีกห้าปีข้างหน้า แต่ความท้าทายสำคัญยังคงอยู่ โดยเฉพาะเรื่องราคาซื้อที่ยังสูง ค่าบำรุงรักษาและประสบการณ์ใช้งานที่ยังไม่ตอบโจทย์ในหลายพื้นที่ รวมถึงระบบสถานีชาร์จที่ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้ใช้รถชาวไทยถึง 60% ยังลังเลและพิจารณากลับไปใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซลเป็นเชื้อเพลิง
สิงคโปร์นำโด่งเรื่องของความพร้อมทั้งนโยบายและโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนไทยมีศักยภาพสูง
เมื่อพิจารณาจากรายงานและข้อเท็จจริงในตลาดอาเซียน-6 พบว่า ประเทศสิงคโปร์มีความโดดเด่นด้านความพร้อมทั้งนโยบายและโครงสร้างพื้นฐาน ด้วยคะแนนดัชนี eReadiness สูงถึง 4.3 จาก 5 ขณะที่ไทยเองแม้จะได้คะแนนจะอยู่ในระดับกลาง (2.9) แต่ก็มีศักยภาพสูงจากสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและเงินอุดหนุน (โครงการ EV 3.5) รวมถึงมีเป้าหมายการผลิตที่ชัดเจน (30% ของยอดผลิตเป็น EV ภายในปี 2573) ทั้งนี้ รัฐบาลไทยพยายามเร่งลงทุนในสถานีชาร์จและสนับสนุนการผลิตแบตเตอรี่ในประเทศ ทว่าอุปสรรคเรื่องการกระจุกตัวของโครงสร้างพื้นฐานในเมืองใหญ่และต้นทุนที่สูงยังคงเป็นข้อจำกัดสำคัญของเรา

คุณผู้อ่านจะเห็นได้ว่า ตลาด EV ในอาเซียนและไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วจากแรงผลักดันทั้งฝั่งผู้บริโภคและนโยบายรัฐ โอกาสสำคัญอยู่ที่การเร่งขยายสถานีชาร์จ พัฒนา EV รุ่นราคาประหยัด และสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีและบริการหลังการขาย ซึ่งหากประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและลงทุนให้ตรงจุด ประเทศในภูมิภาคนี้ก็อาจกลายเป็นศูนย์กลาง EV ที่สำคัญได้ในอนาคต แต่หากยังเดินช้าด้วยข้อจำกัดเดิมๆ ก็อาจถูกทิ้งไว้ข้างหลังในยุคปฏิวัติพลังงานสะอาดนี้
อ้างอิง:
- ASEAN-6 eReadiness 2025, PwC ประเทศมาเลเซีย


