×

ถอดบทเรียนเศรษฐกิจไทยปี 2568 คนไทยผ่านวิกฤตอะไรกันมาบ้าง?

29.12.2025
  • LOADING...
thailand-2025-year-review-crises-and-lessons-for-2026

ปี 2568 นับเป็นปีแห่งความท้าทายและเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งเศรษฐกิจที่เผชิญมรสุมความเสี่ยงจากปัญหาปากท้องครัวเรือน (กำลังซื้อยังอ่อนแอจากหนี้สูง), ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่ตึงเครียด, ภูมิรัฐศาสตร์, วิกฤตศรัทธาในวงการศาสนาที่ถูกตั้งคำถาม, ภัยธรรมชาติ (อุทกภัย), ความผันผวนทางการเมือง, ทุนเทา, สแกมเมอร์, และความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง (การแข่งขัน/สังคมสูงวัย) ยังเป็นโจทย์ใหญ่ต่อเนื่องไปถึงปี 2569

 

เพื่อรับมือกับอนาคต THE STANDARD WEALTH ชวนถอดบทเรียน คนไทยต้องปรับตัวและรับมือกับความไม่แน่นอนสูงทั้งในด้านชีวิต การเงิน และความวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป 

 

1. ซิงซิงเอฟเฟกต์! สู่ปรากฏการณ์สแกมเมอร์เมียนมา-กัมพูชาล้อมไทย

 

บทสรุปความปั่นป่วนปี 2568: เมื่อโลกเก่าพังทลาย และโลกใหม่เต็มไปด้วยความเสี่ยง

 

‘ชาวจีน’ ถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่ที่สุดของไทย โดยแต่ละปีจะมีชาวจีนประมาณ 6.7 ล้านคน เดินทางมาท่องเที่ยวไทย กระทั่งในเดือน ม.ค. 2568 เมื่อเกิดเหตุการณ์ หวังซิง (Wang Xing หรือ ‘ซิงซิง’) นักแสดงหนุ่มชาวจีน เดินทางมาประเทศไทยแล้วถูกขบวนการค้ามนุษย์ลักพาตัว ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาชาวจีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ 

 

กระแสข่าวดังกล่าวถูกแชร์อย่างกว้างขวางบนโลกออนไลน์ ก่อนจะถึงช่วงหยุดยาวในเทศกาลตรุษจีนที่ผู้คนนิยมเดินทางท่องเที่ยวกลับลดลงและส่งผลต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยอย่างมากถึงกลางปีซึ่งไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก โดยปีนี้เทรนด์การท่องเที่ยวเปลี่ยนชาวจีน บางส่วนหันไปท่องเที่ยวเวียดนามและญี่ปุ่นแทน

 

อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA)  กล่าวกับ THE STANDARD WEALTH ว่า ปัจจุบันเวียดนามไม่เพียงขยายมาตรการกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวจีน ยังขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ที่คล้ายกับกลุ่มตลาดเป้าหมายของไทย อาทิ เกาหลีใต้ รัสเซีย ซึ่งก็เริ่มเห็นชัดเจนแล้วว่า กลุ่มประเทศเหล่านี้ย้ายฐานไปเวียดนาม 

 

มูลค่าตัวเลขง่ายๆนักท่องเที่ยวจีนที่หายไปนั้น ถ้านักท่องเที่ยวหายไป 1 ล้านคน รายได้ก็หายไป 50,000 ล้าน ค่าเฉลี่ยในการเที่ยวไทย 1 คน ราวๆ 5 หมื่นบาท ซึ่งดูตัวเลขจาก SCB EIC พบว่า ปีนี้ นักท่องเที่ยวจีนอาจหายไป 1.5 ล้านคน ก็เท่ากับว่ารายได้จะหายไป 75,000 ล้านบาท ที่สำคัญคือ 33% ชาวจีนจับจ่ายเป็นค่ากินดื่ม ก็จะกระทบไปถึงธุรกิจร้านอาหาร SME อย่างที่ทุกคนทราบสถานการณ์บรรทัดทอง ถนนข้าวสาร ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงมาก 

 

2. ทุนจีนใกล้ฉัน: ‘ไทยแลนด์’ ดินแดนสวรรค์ทุน (เทา) จีน

 

บทสรุปความปั่นป่วนปี 2568: เมื่อโลกเก่าพังทลาย และโลกใหม่เต็มไปด้วยความเสี่ยง

 

ตลอดช่วง 5 ปีนับตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 เมียนมา โดยเฉพาะกัมพูชากลายเป็นศูนย์กลางเครือข่ายสแกมเมอร์ข้ามชาติ ที่หลอกลวงคนไทยและผู้คนทั่วโลก สร้างความเสียหาย ‘ปีละหลายแสนล้านบาท’ อีกทั้งยังมีการหลอกล่อแรงงานจากหลายประเทศเข้าไปทำงานในลักษณะค้ามนุษย์ จนกัมพูชาถูกขนานนามว่า ‘สแกมโบเดีย’

 

เงินจำนวนมหาศาลจากการฉ้อโกงเหล่านี้ ลามไปสู่ปัญหาการฟอกเงิน (Money Laundering) และประเทศไทยกลับกลายเป็นพื้นที่สำคัญในการฟอกเงินของเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ส่งผลให้ไทยถูกมองว่าเป็น ‘ศูนย์กลางการฟอกเงิน’ และเป็นแหล่งพักพิงของกลุ่มสแกมเมอร์ในภูมิภาค

 

รศ. ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD WEALTH ว่า หลายปัจจัยทั้งการเปิดเสรีทางการค้า ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความรุนแรงของสงครามการค้าในยุคทรัมป์ 2.0 เป็นปัจจัยเร่งให้ทุนจีนย้ายฐานการผลิตเข้ามาในประเทศไทย

 

แม้การไหลเข้าของเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) จะเป็นผลดีในเชิงปริมาณ แต่ในอีกด้านหนึ่ง สินค้าจีนกลับหลั่งไหลเข้ามาแข่งขันกับสินค้าไทยอย่างรุนแรง ส่งผลให้ผู้ประกอบการไทยจำนวนมากแข่งขันได้ยากขึ้น ธุรกิจทยอยปิดตัว และหลายกิจการถูกต่างชาติเทกโอเวอร์ สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเมื่ออัตราการเติบโตของ GDP ไทยรั้งท้ายประเทศเพื่อนบ้าน

 

ภาคการผลิตที่อ่อนแอ ประกอบกับกติกาการเปิดธุรกิจที่เอื้อต่อทุนต่างชาติ โดยใช้เงินเพียงราว 2 ล้านบาทก็สามารถจดทะเบียนตั้งบริษัทในไทยได้ ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายที่เข้าถึงง่ายของทุนจีน ปรากฏการณ์นี้ดำรงอยู่มาอย่างยาวนานและยังไร้การแก้ไขอย่างจริงจัง

 

ท้ายที่สุด ทุนจีนสีขาวจึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็น ‘ทุนจีนสีเทา’ นอกเหนือจากการแข่งขันทางสินค้า ยังเกิดปัญหาใต้พรมเชื่อมโยงไปถึงอาชญากรรม ดังข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงิน สแกมเมอร์ หรือเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ จนเกิดคำถามสำคัญในสังคมว่า เหตุใดประเทศไทยจึงกลายเป็นสวรรค์ของทุน (จีน) สีเทา 

 

3. ปีแห่งภัยพิบัติ: จากแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ถึงมหาอุทกภัย ‘หาดใหญ่’

 

บทสรุปความปั่นป่วนปี 2568: เมื่อโลกเก่าพังทลาย และโลกใหม่เต็มไปด้วยความเสี่ยง

 

ในช่วงต้นปี 2568 ประเทศไทยต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวครั้งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึก เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 2568 เกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี ส่งแรงสะเทือนรับรู้ได้ตั้งแต่ภาคเหนือจดกรุงเทพฯ ส่งผลให้อาคารสูงหลาย แห่งต้องเร่งอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เพื่อความปลอดภัยแต่ความเสียหายรุนแรงที่สุดเกิดขึ้นกับอาคาร ‘สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งใหม่’ ที่พังถล่ม

อย่างไม่คาดคิด คร่าชีวิตผู้คนจำนวน และสูญหายอีกหลายราย กลายเป็นเหตุสะเทือนใจคนไทยทั่วประเทศ กระทบบรรยากาศลงทุน เศรษฐกิจชะงัก 

 

ระหว่างปีภัยธรรมชาติยังเกิดอีกหลายระลอก เริ่มตั้งแต่เดือน ก.ค. เมื่อพายุหลายลูกพัดล่มเข้าประเทศ ทำให้เกิดฝนตกหนัก กระทั่งเดือนพ.ย. พื้นที่ 9 จังหวัดภาคใต้ของประเทศไทยต้องเผชิญกับมหาอุทกภัยโดยเฉพาะ ‘หาดใหญ่’ ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่เศรษฐกิจใต้ ประชาชนกว่า 1 ล้านครัวเรือนประสบความสูญเสียทั้งทรัพย์สิน บ้านเรือน และสมาชิกในครอบครัว ความเสียหายทางเศรษฐกิจ หลายหมื่นล้านบาท นับเป็นหนึ่งในวิกฤตน้ำท่วมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย

 

4. ทรัมป์คัมแบ็ก! ภาษีสหรัฐฯ สะเทือนการค้าโลกและไทย 

 

บทสรุปความปั่นป่วนปี 2568: เมื่อโลกเก่าพังทลาย และโลกใหม่เต็มไปด้วยความเสี่ยง

 

ช่วงเดือนเมษายน นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้ามาคุมบังเหียนหวนคืนทำเนียบขาว ไ้ด้สร้างปรากฎการณ์สะท้านโลก ด้วยการประกาศรีดภาษีนำเข้าสินค้าจากเกือบทุกประเทศ นำไปสู่การทำสงครามการค้าอีกครั้งที่ห้ำหั่นกันระหว่างชาติมหาอำนาจกับจีน และสั่นคลอนเสถียรภาพเศรษฐกิจโลก

 

โดยช่วงท้ายปี ทรัมป์ ร่อนจดหมายแจ้งอัตราภาษีนำเข้าสหรัฐฯ กับประเทศที่ได้ดุล การค้า และเก็บจริงวันที่ 1 ส.ค. 2568 โดย ‘ไทย’ เป็น 1 ใน 14 ประเทศแรกที่ถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ทุกประเภทกับประเทศที่ได้ดุลการค้า ไทย ที่ถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 37 % และมีผลเมื่อ 9 เม.ย. แต่สุดท้ายรัฐบาลได้เจรจาต่อรองจนเหลือ 19 % เทียบเท่าเพื่อนบ้านคู่แข่ง ทั้งนี้ภาษีสหรัฐฯ ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงทางอ้อม เนื่องจากไทยส่งสินค้าไทยสหรัฐฯ เป็นตลาดอันดับ 1

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากวิกฤตภาษีทรัมป์แล้ว โลกยังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และความร้อนแรงของอุตสาหกรรมเทคโนโลยี จุดกระแสความเฟื่องฟูของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่แข่งขันกันผลิตและส่งออกชิป แย่งชิงทรัพยากรแร่แร์เอิร์ธ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ 

 

5. มรสุมการเมืองไทยกับแผลลึกปมขัดแย้ง ‘ไทย-กัมพูชา’ ที่ยังรอวันเจรจา

 

บทสรุปความปั่นป่วนปี 2568: เมื่อโลกเก่าพังทลาย และโลกใหม่เต็มไปด้วยความเสี่ยง

 

ปีนี้ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทุขึ้น  ครั้งแรก แม้โดนัล ทรัมป์เป็นตัวกลางในการเจรจาที่มาเลเซีย ในช่วงเดือนก.ค. ซึ่งเป็นช่วงหลังมีคลิปเสียงหลุดระหว่าง อดีตนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร และ ฮุน เซน เผยแพร่ในโลกออนไลน์ กลายเป็น หนึ่งในเหตุการณ์ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองครั้งใหญ่ที่สุดของปี กระทั่งนำไปสู่คำวินิจฉัยของศาลให้ แพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในที่สุด  

 

จากสถานการณ์ดังกล่าวนำมาสู่ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดการเปลี่ยนขั้วอำนาจอีกครั้ง เมื่อพรรคประชาชน จับมือกับพรรคภูมิใจไทยและพรรคพันธมิตร จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ เสนอชื่อ อนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย และอนุทินประกาศยุบสภาในที่สุด เกิดสุญญากาศทางการเมือง ขณะที่ปัจจุบันเดือนธันวาคม สถานการณ์เหตุปะทะ ‘ไทย-กัมพูชา’ ก็ยังไม่คลี่คลาย

   

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising