เคยสงสัยไหมว่า เทรนด์ความงามที่เราเห็นกันเกลื่อนฟีด ไม่ว่าจะเป็นการฉีดฟิลเลอร์ให้หน้าเต็มหรือการวิ่งตามเทรนด์งานผิวใหม่ๆ จริงๆ แล้วมันคือการซ่อมแซมหรือกำลังซ้ำเติมให้ผิวเราล้ากว่าเดิมกันแน่?
อีกคำถามสำคัญคือ เรากำลังวิ่งตามภาพลวงตาของความงามจนลืมมองความจริงของธรรมชาติร่างกายไปหรือเปล่า?
ลองมาร่วมค้นหาคำตอบกับหมอโอ๊ค-นพ.สมิทธิ์ อารยะสกุล (ว.28935) Medical Director จาก Smith Prive’ Aesthetique แขกรับเชิญใน Longevity Lab EP.8 ที่จะมาเจาะลึกนิยามใหม่ของ ‘Longevity Beauty’ พาคุณดำดิ่งลงไปใต้ชั้นผิวเพื่อทำความเข้าใจความแก่ลงลึกถึงระดับเซลล์ พร้อมแยก ‘ความเชื่อ’ ออกจาก ‘ความจริง’ ให้คุณสวยอย่างรู้ทันและยั่งยืน ก่อนก้าวเข้าสู่ปี 2026
1. ฟิลเลอร์ที่ฉีด…อาจไม่ได้สลายจริง
“เราเคยเชื่อว่าฟิลเลอร์อยู่ได้ปีเดียวแล้วหายไป แต่มีงานวิจัยล่าสุด (ปี 2024) ที่นำคนไข้ 33 คนมาสแกน MRI พบว่าทุกคนที่ฉีดมาแล้ว 2 ปี ยังมีเนื้อฟิลเลอร์เหลืออยู่ 100% แถมบางเคสฉีดมานาน 15 ปียังตรวจเจออยู่เลย การถมฟิลเลอร์เข้าไปเรื่อยๆ จึงทำให้เกิดภาวะหน้าล้าและบวมน้ำ”
2. หน้าแก่เพราะกะโหลกเปลี่ยน
“คนชอบคิดว่าหน้าแก่เพราะผิวหย่อน แต่ความจริงคือ กะโหลกเราเปลี่ยน พอแก่ตัวลง กระดูกหน้าเราจะยุบและกลับไปเหมือนกะโหลกเด็ก เบ้าตากว้างขึ้น กรามมนเข้า ถ้าเราไปแก้แค่ผิวชั้นบนโดยไม่เข้าใจโครงสร้างลึกๆ ก็เหมือนแก้ผิดจุด”
3. ยุคแห่งการ ‘ซ่อม’ ไม่ใช่แค่ ‘เติม’
“เทรนด์โลกกำลังไปที่ระดับโมเลกุล อย่าง PN (DNA แซลมอน) มันไม่ใช่แค่เติมแล้วฟู แต่มันคือก้อนอิฐที่ร่างกายเอาไปซ่อม DNA และสร้างนั่งร้าน (Scaffold) ให้เซลล์ผิวเรากลับมาทำงานเองได้”
4. ผิวทุกชั้นมีการคุยกันเสมอ
“ผิวเราไม่ได้แยกส่วนนะครับ ไขมันคุยกับผิวหนัง กล้ามเนื้อคุยกับไขมัน ถ้ารากฐานข้างล่างพัง ข้างบนก็พังด้วย การรักษาสมัยใหม่จึงต้องมองภาพรวม ไม่ใช่แค่ยิงเลเซอร์ใส่ผิวชั้นบนแล้วจบ”
5. ระวังสมองหลอกว่า “ยังสวยไม่พอ”
“ถ้าคุณดูรูปจมูกพุ่งๆ หรือปากเจ่อๆ ในโซเชียลทุกวัน สมองคุณจะเกิด Familiarity Bias จนมองว่าสิ่งผิดธรรมชาติคือเรื่องปกติ และเริ่มมองว่าหน้าปกติของตัวเอง ‘ไม่พอ’ ทั้งที่งานวิจัยยืนยันว่า ความงามที่ธรรมชาติที่สุด คือสิ่งที่ดึงดูดที่สุด”
