×

ทำไม สหรัฐฯ ต้องการ กรีนแลนด์? ไขเหตุผลความมั่นคง-ภูมิรัฐศาสตร์ในอาร์กติก

24.12.2025
  • LOADING...
ทำไมสหรัฐฯ ต้องการ กรีนแลนด์? ไขเหตุผลความมั่นคง-ภูมิรัฐศาสตร์ในอาร์กติก

“เราต้องการกรีนแลนด์เพื่อความมั่นคงแห่งชาติ ไม่ใช่เพื่อแร่ธาตุ เรามีแหล่งแร่และน้ำมันมากมายอยู่แล้ว” เป็นคำยืนยันของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกาเมื่อวานนี้ (23 ธันวาคม) หลังแต่งตั้ง เจฟฟ์ แลนดรี (Jeff Landry) ผู้ว่าการรัฐลุยเซียนาให้ดำรงตำแหน่งผู้แทนสหรัฐฯ ประจำกรีนแลนด์ โดยไม่ได้หารือกับทางการกรีนแลนด์หรือเดนมาร์ก

 

เป็นเหตุให้ เมตเต เฟรเดอริกเซน (Mette Frederiksen) นายกรัฐมนตรีเดนมาร์ก และเยนส์ เฟรเดอริก นีลเซน (Jens-Frederik Nielsen) นายกฯ กรีนแลนด์ออกโรงคัดค้านว่า ดินแดนดังกล่าวอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ และไม่สามารถผนวกเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ ได้

 

ขณะที่สหภาพยุโรป (EU) กล่าวเตือนว่า ความมั่นคงในภูมิภาคอาร์กติกเป็นวาระสำคัญ และบูรณภาพแห่งดินแดน คือหลักการพื้นฐานตามกฎหมายระหว่างประเทศที่สำคัญ โดย EU จะยืนข้างเดนมาร์กและกรีนแลนด์ในประเด็นดังกล่าวอย่างสุดความสามารถ

 

“กรีนแลนด์เป็นของประชาชน เดนมาร์กคือผู้ค้ำประกัน” เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศสระบุสั้นๆ

 

กรีนแลนด์มีความเป็นมาและสถานะอย่างไร

 

กรีนแลนด์เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก (หากไม่นับรวมทวีปออสเตรเลีย) ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือและทะเลอาร์กติก แต่ในเชิงภูมิศาสตร์ถือว่าตั้งอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ โดยมีพื้นที่เกือบ 2.17 ล้านตารางกิโลเมตร ขณะที่ 80% ของพื้นที่ปกคลุมด้วยธารน้ำแข็ง และมีประชากรราว 5.6 หมื่นคน ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่เมืองหลวงอย่างนุก

 

ย้อนกลับไป ชาวอินูอิตเป็นกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในกรีนแลนด์ตั้งแต่ยุค 2,500 ปีก่อนคริสตกาล ต่อมาชาวไวกิงในยุโรปเหนือเข้ามาตั้งถิ่นฐานในศตวรรษที่ 10 ขณะที่ในปี 1814 เดนมาร์กได้ประกาศให้กรีนแลนด์เป็นอาณานิคมอย่างเป็นทางการ ก่อนจะยกระดับเป็นจังหวัดหนึ่งของเดนมาร์ก และได้รับสิทธิปกครองตนเองในปี 1979 ร่วมกับหมู่เกาะแฟโร

 

ในปี 2009 กรีนแลนด์ได้รับอำนาจปกครองตนเองเพิ่มขึ้น ครอบคลุมในด้านกิจการภายใน เช่น การศึกษาหรือการสาธารณสุข รวมถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ หากแต่เดนมาร์กยังมีอำนาจด้านการต่างประเทศ การป้องกันประเทศ และการให้งบประมาณสนับสนุน

 

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจในเดือนมกราคม 2025 ชี้ว่า ชาวกรีนแลนด์ต้องการเป็นเอกราชจากเดนมาร์ก ในเงื่อนไขสำคัญคือ เศรษฐกิจต้อง ‘แข็งแกร่ง’ มากพอ หากแต่ประชากร 85% ไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐฯ

 

อนึ่ง เดนมาร์กและกรีนแลนด์มีความบาดหมางทางประวัติศาสตร์ โดยมีการขุดคุ้ยอดีตในช่วงอาณานิคมว่า เดนมาร์กละเมิดสิทธิและกระทำย่ำยีชาวกรีนแลนด์ เช่น การบังคับให้ผู้หญิงกรีนแลนด์ฝังห่วงคุมกำเนิดในช่วงปี 1960-1970 ทำให้ มูเต เอเกเด อดีตนายกฯ กรีนแลนด์ถึงเรียกว่า นี่คือ ‘การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยรัฐ’

 

ขณะที่มีความเชื่อว่า กรีนแลนด์กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในเวทีโลก โดยในปี 2024 มีการจัดทำยุทธศาสตร์ด้านการต่างประเทศ การป้องกันประเทศ และความมั่นคงในชื่อ Greenland in the World – Nothing About Us Without Us ว่า ภายในปี 2024-2033 กรีนแลนด์ต้องมีความสำคัญบนเวทีโลก

 

สหรัฐฯ เชื่อมโยงกับ กรีนแลนด์ อย่างไร

 

สำหรับการเข้ามาของสหรัฐฯ ในกรีนแลนด์ ต้องย้อนกลับไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เดนมาร์กทำข้อตกลงอนุญาตให้กองทัพสหรัฐฯ เข้ามาปกป้องกรีนแลนด์ในปี 1941 เนื่องจากเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญ เช่น การเป็นเส้นทางเดินเรือ หรือการสกัดกั้นเรือดำน้ำเยอรมนีในเวลานั้น

 

นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังตั้งฐานทัพในกรีนแลนด์ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น อย่างฐานทัพอากาศ Pituffik ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรีนแลนด์ โดยทำหน้าที่เตือนภัย ป้องกันขีปนาวุธ ป้องกันภัยทางอากาศ รวมไปถึงติดตามกิจกรรมทางทหารของสหภาพโซเวียต

 

อันที่จริง แนวคิดการครอบครองกรีนแลนด์ของสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากย้อนกลับไปจะพบว่า วอชิงตันพยายามผลักดันประเด็นดังกล่าวตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา เช่น

 

  • 1867 – สหรัฐฯ เคยสำรวจแนวโน้มการซื้อกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์ แต่เดนมาร์กไม่สนใจขาย

 

  • 1910 – เคยมีข้อเสนอแลกเปลี่ยนดินแดนสามฝ่าย โดยสหรัฐฯ เสนอแลกกรีนแลนด์กับดินแดนบางส่วนของฟิลิปปินส์ให้เดนมาร์ก

 

  • 1946 – สหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดี แฮร์รี เอส. ทรูแมน เคยขอซื้อกรีนแลนด์จากเดนมาร์กด้วยทองคำมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์อย่างเป็นความลับ โดยให้เหตุผลว่า สหรัฐฯ ต้องครอบครองกรีนแลนด์ด้วยเหตุผลทางการทหาร

 

  • 1955 – เสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐฯ เคยแนะนำให้รัฐบาลพยายามซื้อกรีนแลนด์เพื่อรับประกันการเข้าถึงทางทหาร แต่ไม่มีข้อเสนออย่างเป็นทางการ

 

  • 2019 – ทรัมป์เคยเสนอแนวคิดซื้อกรีนแลนด์อีกครั้ง แต่เดนมาร์กปฏิเสธ ทำให้ผู้นำสหรัฐฯ ประท้วงด้วยการยกเลิกแผนการเยือนโคเปนเฮเกน

 

  • 2025 – ทรัมป์ระบุว่า การครอบครองกรีนแลนด์มีความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ ขณะที่สมาชิกสภาคองเกรสจากพรรครีพับลิกัน เสนอร่างกฎหมายให้ประธานาธิบดีเจรจากับเดนมาร์กเพื่อซื้อกรีนแลนด์

 

ทำไมสหรัฐฯ ต้องการครอบครองกรีนแลนด์?

 

ทรัมป์ระบุว่า กรีนแลนด์มีความสำคัญในมิติความมั่นคงของประเทศ ซึ่งขณะนี้มีเรือของมหาอำนาจอย่างรัสเซียและจีนอยู่ตามแนวชายฝั่ง โดยอ้างว่าเหตุผลการครอบครองไม่ใช่เรื่องทรัพยากร เพราะอเมริกามีแร่และน้ำมันอยู่แล้ว พร้อมทั้งยังตั้งคำถามต่อสิทธิการครอบครองกรีนแลนด์ของเดนมาร์ก

 

อย่างไรก็ดีกรีนแลนด์โต้แย้งทรัมป์ว่า ไม่พบเรือของทั้งสองประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่การลงทุนของจีนในกรีนแลนด์เริ่มลดน้อยลงตั้งแต่ช่วงปี 2010 เป็นต้นมา แม้เคยสนใจโครงการเหมืองแร่และการท่องเที่ยว แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

 

(หมายเหตุ: จีนเคยสนใจลงทุนเส้นทางการเดินเรือในอาร์กติก ภายใต้โครงการ Polar Silk Road แต่บทบาทของปักกิ่งลดลงอย่างมาก เพราะแรงกดดันจากสหรัฐฯ จีนจึงร่วมมือลงทุนทางอ้อมกับรัสเซียแทน)

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากรีนแลนด์กำลังกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญของโลกในศตวรรษที่ 21 ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นพื้นที่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังรวมถึงเหตุผลทางภูมิรัฐศาสตร์ดังต่อไปนี้

 

  1. การมีเส้นทางที่สั้นที่สุด หากต้องเดินทางไปมาระหว่างอเมริกาเหนือกับยุโรป
  2. การมีฐานทัพสหรัฐฯ สำหรับระบบเตือนภัยขีปนาวุธ การป้องกันขีปนาวุธ และการเฝ้าระวังทางอากาศ
  3. การตั้งอยู่ในภูมิภาคอาร์กติก ซึ่งกำลังกลายเป็นสนามการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ของยุโรปและมหาอำนาจโลก โดยเฉพาะหลังสงครามรัสเซีย–ยูเครนในปี 2022 ที่เร่งให้ประเทศในยุโรปตอนเหนือประเมินภัยคุกคามด้านความมั่นคงใหม่ทั้งหมด เช่น ฟินแลนด์และสวีเดนตัดสินใจเข้าร่วม NATO
  4. การตั้งอยู่บนจุด GIUK Gap (Greenland–Iceland–United Kingdom) หรือจุดคอขวดทางยุทธศาสตร์ในการต่อต้านเรือดำน้ำในมหาสมุทรแอตแลนติกในช่วงสงครามเย็น ซึ่งในปัจจุบัน ยังมีความสำคัญในการติดตามความเคลื่อนไหวของรัสเซีย
  5. การเป็นเส้นทางเดินเรือสายใหม่ ซึ่งเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กล่าวคือ กรีนแลนด์มีที่ตั้งใกล้เส้นทางเดินเรือ 2 เส้น คือ Northwest Passage และ Transpolar Sea Route หากน้ำแข็งในทวีปอาร์กติกละลาย กรีนแลนด์จะได้เส้นทางใหม่ที่อาจลดเวลาเดินเรือ และหลีกเลี่ยงเส้นทางคอขวดอื่นๆ อย่างคลองสุเอซและคลองปานามา

 

อย่างไรก็ดีมีข้อถกเถียงว่า เส้นทางนี้อาจไม่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีสภาพอากาศรุนแรง แต่ในแผนระยะยาว กรีนแลนด์จะมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการความปลอดภัยทางทะเล และโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคอาร์กติก

 

นอกจากนี้ กรีนแลนด์ยังมีความสำคัญในด้านทรัพยากรธรรมชาติ เช่น สังกะสี, ตะกั่ว, ทองคำ, แร่เหล็ก, ก๊าซธรรมชาติ และเป็นขุมทรัพย์ ‘แร่หายาก’ ขนาดใหญ่ของโลก ซึ่งจำเป็นต่อการแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์

 

กรีนแลนด์ถูกเดิมพันว่าจะกลายเป็น ‘ดินแดนแร่แห่งใหม่’ ของโลก โดยรายงานของ BBC ระบุว่า บริษัทต่างๆ พยายามวางแผนขุดแร่หายากอย่างจริงจัง หากแต่อุปสรรคสำคัญคือขั้นตอนการสร้างเหมืองที่ต้องริเริ่มตั้งแต่โรงงาน ที่พัก ท่าเรือ การหาเงินทุน การศึกษาความเป็นไปได้ ไปจนถึงการอนุมัติจากรัฐบาล

 

เกร็ก บาร์นส์ (Greg Barnes) นักธรณีวิทยาและผู้ก่อตั้งโครงการขุดเหมืองแร่ Tanbreez ที่สำรวจพื้นที่ดังกล่าวมานานหลายปีระบุว่า หากมีโครงการขุดแร่หายากในกรีนแลนด์ อาจทำให้ชาติตะวันตก ‘พลิกเกม’ ในศึกแรร์เอิร์ธได้ เพราะจำนวนทรัพยากรในกรีนแลนด์มีมากพอให้ใช้ได้นานถึงพันปี

 

อย่างไรก็ตาม มีบริษัทที่ได้ถือใบอนุญาตขุดเหมืองแร่ในเชิงพาณิชย์เพียง 9 แห่ง และมีเหมือง 2 แห่งที่เปิดดำเนินการจริงจังในกรีนแลนด์

 

ปัจจุบันจีนผลิตแร่หายากราว 60% และแปรรูปมากกว่า 90% ของโลก โดยในช่วงที่ผ่านมา จีนประกาศจำกัดการส่งออกแร่หายาก แม้จะมีการระงับมาตรการหลังเจรจากับสหรัฐฯ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของชาติตะวันตก ที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรดังกล่าวจากจีน

 

ภาพ: Michael Kappeler / Reuters

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising