Krungthai COMPASS ประเมิน การยกเครื่องการลงทุนใน 6 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ตามแนวทาง Reinvent Thailand จะช่วยเพิ่มอัตราเติบโต GDP ไทยระยะข้างหน้าได้อีกประมาณ 0.2-0.4% ต่อปี หลังพบในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในไทยแผ่วลง 5 เท่า ฉุด GDP ช้าลง 3 เท่า
วันนี้ (22 ธันวาคม) ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS มองการเร่งรัดการลงทุนโดยมุ่งเป้าใน 6 อุตสาหกรรมตามแนวทาง Reinvent Thailand ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพและสร้าง Multiplier ได้สูง จะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของ GDP ระยะข้างหน้าได้อีกประมาณ 0.2-0.4% ต่อปี ผ่านการส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ยกระดับผลิตภาพ และทักษะแรงงาน โดยใช้ประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐที่ออกมา เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft loan) และการค้ำประกันสินเชื่อที่จะช่วยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ 6 อุตสาหกรรมเป้าหมายตามแนวทาง Reinvent Thailand ได้แก่
- อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ (Smart Electronics)
- การค้าปลีกและการค้า (Retail & Trading)
- การท่องเที่ยว (Tourism)
- การแพทย์และสุขภาพ (Medical & Wellness)
- ยานยนต์ (Automotive)
- เกษตรและการแปรรูปอาหาร (Agri & Food Processing)
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การลงทุนแผ่วลง 5 เท่า ฉุด GDP ช้าลง 3 เท่า
ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ และ Chief Economist ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อปรากฏการณ์เศรษฐกิจโตต่ำของไทยมาจากการลงทุนที่แผ่วลงกว่าเดิม 5 เท่า และฉุดรั้งให้การเติบโตทางเศรษฐกิจช้าลงไปถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงกว่า 20 ปีก่อน (ปี 2537-2539 เทียบปี 2564-2567) ด้วยผลพวงจากรอยแผลเป็นหลังวิกฤตหลายระลอก และความท้าทายในการรับมือกับบริบทโลกใหม่ที่แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์ลงทุนอ่อนแรงลงในระยะหลัง ยังเป็นผลของการเปลี่ยนแปลง รูปแบบการใช้จ่ายในการจัดหาเครื่องจักรใหม่ซึ่งมีสัดส่วนลดลงจากระยะก่อน หน้านี้ องค์ประกอบการเติบโตของการลงทุนในช่วงปี 2553-2567 มาจากเครื่องจักรประมาณ 1.0% น้อยลงถึง 2.4 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงปี 2543-2552

เพื่อนบ้านดึงดูด FDI ต่อปีได้ ‘มากกว่า’ ไทยถึง 3 เท่าในปี 2560-2567
ดร.พชรพจน์ ยังชี้ให้เห็นว่า ด้านการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ในระยะหลังๆ มานี้ (ปี 2560-2567 ) พบว่า ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียและเวียดนาม สามารถดึงดูด FDI ได้สูงกว่าไทยถึง 3 เท่าตัว ขณะที่บทบาทการมีส่วนร่วมของไทยต่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต อาทิ Semiconductors ยังค่อนข้างน้อย เนื่องจากแรงงานทักษะสูงมีน้อยกว่าคู่แข่ง เช่น เช่น ด้านแรงงานทักษะสูงใน Advance E&E ของไทยยังตามหลังมาเลเซียและเวียดนาม นอกจากนี้ การลงทุนที่อ่อนแอยังกดดันการผลิตภาคอุตสาหกรรมให้โตช้าลง โดยเฉพาะกลุ่มที่เน้นการพึ่งพาปัจจัยทุน

6 อุตสาหกรรม Reinvent Thailand สำคัญ! ครองสัดส่วน 1 ใน 3 ของ GDP
ดร. ฉมาดนัย มากนวล ผู้อำนวยการฝ่าย กล่าวว่า ไทยต้องเร่งลงทุนทั้งในมิติการพัฒนากระบวนการผลิตไปสู่การใช้นวัตกรรม โดยเฉพาะการลงทุนในเครื่องจักรใหม่และโรงงานอัฉริยะ (Smart Factory) ให้สอดรับกับโครงสร้างแรงงานที่เปลี่ยนไปตามสังคมสูงวัย และในมิติการพัฒนาทักษะแรงงานแบบ Right Re-Skill & Up-skill
ขณะเดียวกันยังต้องเสริมศักยภาพด้วยการต่อยอดจากจุดแข็งที่มีเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยอาศัยแนวทาง Reinvent Thailand ที่จะสนับสนุนการยกระดับใน 6 อุตสาหกรรมเป้าหมายตั้งต้น (Priority Sectors) ซึ่งล้วนเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรม New S-Curve อีกทั้งยังมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจ
โดย 6 Priority Sectors จาก Reinvent Thailand นั้น สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มหรือ
GDP ให้แก่ประเทศได้ราว 29% ของยอดจีดีพีรวม หรืออเกือบ 1 ใน 3 ของ GDP (ปี 2566) ทั้งหมด
นอกจากนี้ 6 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ตามแนวทาง Reinvent Thailand ยังมีจำนวนผู้ประกอบการราว 2.4 แสนราย (46% ของจำนวนผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคลทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็น SMEs) มีการจ้างงานมากถึงกว่า 10.6 ล้านคน (55% ของการจ้างงานจากธุรกิจทั้งหมด) และสร้างรายได้ต่อปีรวมกว่า 38 ล้านล้านบาท (64% ของรายได้รวมทุกธุรกิจ)
“ดังนั้น การยกระดับการลงทุนเพื่อเพิ่มความสามารถของธุรกิจและสร้างมูลค่าเพิ่มใน 6 Sectors ตั้งต้น จึงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย”

ลงทุนตามแนว Reinvent Thailand กระตุ้น GDP ได้ 0.2-0.4% ต่อปี
กฤตตฤณ เหล่าฤทธิ์ นักวิเคราะห์ กล่าวว่า การพุ่งเป้ายกระดับการลงทุนตามแนวทาง Reinvent Thailand จะสามารถช่วยสร้างผลตอบแทนกลับมาเป็นมูลค่าเพิ่มสูง โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า หากไทยสามารถเพิ่มการลงทุนใน Priority Sectors ทั้ง 6 สาขาข้างต้น อย่างน้อยให้มีอัตราการเติบโตเทียบเท่ากับอัตราการเติบโตในช่วง 10 ปีก่อนเกิดโควิด-19 (ปี 2553 – 2562) จะสามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของ GDP ระยะข้างหน้าได้อีกประมาณ 0.2-0.4% ต่อปี
อีกทั้งยังเป็นการช่วยปรับโครงสร้างธุรกิจและแรงงานไทยให้สอดรับกับบริบทโลกมากขึ้น เพิ่มผลิตภาพ ซ่อมสร้างเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ (New growth engine) และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ของประเทศ อันเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างที่เป็นรากฐานสำคัญสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป


