ศุลกากรผนึก 5 แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เตรียมความพร้อมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าตั้งแต่บาทแรก และสกัดสินค้านำเข้าผิดกฎหมาย ร่วมสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมให้ SME และสกัดสินค้านำเข้าผิดกฎหมาย
วานนี้ (22 ธันวาคม) พันธ์ทอง ลอยกุลอนันท์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยการกำกับดูแลและปราบปรามการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย และสินค้าที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ร่วมกับแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ (e-commerce) 5 ราย ประกอบด้วย Lazada, Shopee, TikTokShop, SHEIN และ Temu
ภายใต้ MOU ดังกล่าว กรมศุลกากรจะส่งข้อมูลรายการสินค้าควบคุมให้แพลตฟอร์มใช้เป็นฐานในการกำกับดูแล เพื่อยุติการจำหน่ายสินค้าที่ไม่เป็นไปตามกฎหมาย หรือสินค้าบางประเภทที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เช่น บุหรี่ไฟฟ้า
ทั้งนี้ พันธ์ทองยอมรับว่าไม่อาจควบคุมสินค้าผิดกฎหมายได้ทั้งหมด แต่เชื่อว่าจะช่วยลดปริมาณสินค้าผิดกฎหมายลงได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับในอดีต โดยยกตัวอย่างว่า ผู้บริโภคอาจเลี่ยงไปใช้คำค้นหาอื่นแทนคำว่า ‘บุหรี่’ หรือ ‘ซิการ์’ ที่ถูกควบคุม ทำให้การซื้อขายยังมีอยู่แต่เชื่อว่าจะน้อยลง
พันธ์ทองกล่าวว่าความร่วมมือดังกล่าวเป็นไปบนพื้นฐานความสมัครใจของแพลตฟอร์ม และจะก่อให้เกิดประโยชน์หลัก 3 ด้าน ได้แก่
1. สร้างการแข่งขันการค้าอย่างเป็นธรรม ในระดับที่เท่าเทียมกัน (Level Playing Field) ให้กับ SME ไทย และสินค้าบนแพลตฟอร์มที่นำเข้าจากต่างประเทศ
2. ปกป้องสังคมจากสินค้าผิดกฎหมาย เช่น สินค้าไม่มีใบอนุญาตจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ซึ่งเป็นการขยายผลเพิ่มเติมจากเดิมที่ครอบคลุมเฉพาะสินค้าผิดลิขสิทธิ์
3. จัดเก็บรายได้รัฐอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะช่วยเสริมศักยภาพการคลังภาครัฐ คาดว่าจะจัดเก็บรายได้ศุลกากรเพิ่มขึ้น 3,000 ล้านบาทต่อปี จากการยกเลิกกำหนดมูลค่าขั้นต่ำ (De Minimis)
เตรียมเก็บอากรตั้งแต่บาทแรก
ทั้งนี้ กรมศุลกากรเตรียมเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ตั้งแต่ 1 บาทแรก จากเดิมที่ยกเว้นให้สินค้านำเข้าที่มีราคาต่ำกว่า 1,500 บาท โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ซึ่งสินค้าแต่ละรายการจะถูกเก็บภาษีในอัตราตามพิกัดของสินค้าชนิดนั้น เช่น เสื้อผ้า 30% รองเท้า 30% กระเป๋า 20% และกระบอกน้ำ 10%
สำหรับผลกระทบด้านราคา พันธ์ทองระบุว่า ราคาสินค้าจะถูกปรับเพิ่มขึ้นแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของแต่ละแพลตฟอร์ม ว่าจะมีการรวมภาษีไว้ในราคาสินค้า หรือช่วยดูดซับต้นทุนมากน้อยเพียงไร
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายหลักของศุลกากรคือการสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขัน เนื่องจากในอดีตร้านค้าต่างประเทศสามารถตั้งราคาต่ำกว่าร้านค้าในประเทศจากการไม่เสียภาษี
ชำระภาษีจ่ายจบที่หน้าเว็บ
ในส่วนของวิธีการชำระภาษี พันธ์ทองชี้ว่า โดยหลักแล้ว ผู้บริโภคจะจ่ายราคารวมภาษีจบที่หน้าเว็บ หรือหน้าแพลตฟอร์มเลย ยกเว้นกรณีการจัดส่งผ่านไปรษณีย์ไทย ที่จะมีการเรียกเก็บภาษี ณ ขั้นตอนการนำส่ง โดยผู้บริโภคต้องชำระใบแจ้งให้ไปรับสิ่งของส่งทางไปรษณีย์ระหว่างประเทศ หรือ ‘ใบเขียว’
อย่างไรก็ตาม พันธ์ทองระบุว่า สินค้าที่จัดส่งผ่านไปรษณีย์ไทยมีเพียง 1,300 กล่องต่อวันเท่านั้น ถือเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณการนำเข้าทั้งหมด ดังนั้น มาตรการดังกล่างจึงไม่สร้างความยุ่งยากให้แก่ผู้บริโภค
เตรียมระบบพร้อมเริ่มมาตรการ 1 มกราคมนี้
พันธ์ทองคาดว่าการบังคับใช้มาตรการตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จะดำเนินไปอย่างราบรื่น เนื่องจากภาครัฐและแพลตฟอร์มได้เตรียมความพร้อมเรื่องฐานข้อมูลและการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
พันธ์ทองชี้ว่า ความร่วมมือของแพลตฟอร์มจะช่วยลดภาระของการตรวจสอบสินค้าต้องสงสัยไปเยอะ เพราะมีการช่วยตรวจสอบตั้งแต่ต้นทาง แต่ระยะเวลาที่ใช้ตรวจสอบจะไม่ต่างจากเดิมมาก
มุ่งสร้างความเป็นธรรม เหนือรายได้ภาษี
พันธ์ทองคาดว่าจะจัดเก็บรายได้ปีงบประมาณ 2569 ได้อย่างน้อย 3,000 ล้านบาทจากมาตรการดังกล่าว แต่ยอมรับว่ารายได้จากภาษีรถยนต์จะลดลง จากการซื้อที่น้อยลง ขณะที่รถยนต์อีวีได้รับมาตรการทางภาษีเยอะ ส่วนรถหรูก็มีการผลิตในอาเซียนและมีอัตราภาษีต่ำ ประกอบกับสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าหนัก
อย่างไรก็ตาม พันธ์ทองย้ำว่าหัวใจของมาตรการนี้ คือการสร้างความเป็นธรรมทางการแข่งขันและการคุ้มครอง SMEs ไทย มากกว่าการมุ่งเพิ่มรายได้ภาษีเพียงอย่างเดียว
Lazada พร้อม Take Down สินค้าผิดกฎหมายภายในหลักนาที
พันโทหญิง ดร. ธมกร ศุภธนรังสี รองประธานฝ่ายรัฐสัมพันธ์ ของ Lazada ระบุว่า พร้อมร่วมมือแบ่งปันข้อมูลกับกรมศุลกากร เพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศสามารถแข่งขันได้ในระดับที่เท่าเทียมกัน พร้อมระบุอีกด้วยว่า Lazada พร้อมปลดสินค้าสุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายลงจากแพลตฟอร์มได้ในหลักนาที หากได้รับแจ้งจากหน่วยงานภาครัฐ


