×

ศูนย์กลางฟอกเงินสแกมเมอร์อยู่ในตลาดหุ้นและกองทุนไทย?

17.12.2025
  • LOADING...
scammer-money-laundering-thai-stock-market-risk

กัมพูชาเป็นประเทศที่มีเครือข่ายสแกมเมอร์มากกว่า 60 แห่ง ที่มูลค่าความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนทั่วโลกรวมแล้วมากถึงหลักล้านล้านบาท และตอนนี้ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเอาเงินเปื้อนเลือดและน้ำตาของเหยื่อจำนวนมาก มาฟอกให้สะอาดในประเทศไทย 

 

 

แก๊งหลอกลวงจะต้องฟอกเงินด้วยวิธีต่างๆ แต่คำถามคือทำไมพวกเขาถึงเข้ามายังระบบตลาดหุ้นและกองทุนไทยได้อย่างง่ายดาย และจริงหรือไม่ที่ตอนนี้เรากำลังกลายเป็นศูนย์กลางการอำนวยความสะดวกต่อการฟอกเงินระดับโลก 

 

 

 

ล้างเงินเลือด ให้กลายเป็นเงินสะอาด

 

อาชญากรรมจากการหลอกลวงสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ แต่เงินที่ได้มาต่อให้มากแค่ไหนก็ถือเป็นเงินสกปรก ดังนั้นอาชญากรสแกมเมอร์จะต้องหาวิธีจัดการกับเงินจำนวนมาก ทั้งการเก็บเป็นเงินสด และการกระจายฝากไว้ในบัญชีธนาคารด้วยชื่อของคนอื่นเพื่อรอเอาเงินออกจากบัญชีไปซื้อเหรียญคริปโต เปลี่ยนเงินเป็นพระเครื่อง เป็นรถสปอร์ต นาฬิกาหรู บ้างก็เอาไปซื้อทอง หรือเปลี่ยนเงินปึกใหญ่เป็นโฉนดหนึ่งฉบับ

 

ศาสตราจารย์ ดร.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เคยอธิบายให้รายการ KEY MESSAGES ฟังว่า วิธีการฟอกเงินสามารถเป็นไปได้หลายวิธีอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น และช่วงนี้ที่จะเห็นอยู่บ่อยครั้งก็คือการเอาเงินไปเปิดร้านปลอมๆ ที่ไม่ได้ตั้งใจจะทำการค้าขายจริงๆ เพียงแค่ต้องการทำให้เงินสกปรกมีที่มาที่ไปเท่านั้น

 

“ผู้ที่ไปเป็นล่ามในธุรกิจพวกนี้เล่าให้ฟังว่า กิจการเหล่านี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ดำเนินการในระยะยาว ไม่มีใครตั้งใจจะปักหลักอยู่ถาวร เจ้าของกิจการมักตั้งเป้าว่าจะทำเงินให้ได้ระดับหนึ่ง ก่อนจะนำเงินทั้งหมดมาลงทุนในไทย โดยเฉพาะในกรณีที่กลับประเทศของตนเองไม่ได้เพราะถูกขึ้นบัญชีดำ ไทยจึงกลายเป็นสวรรค์

 

“ไทยเป็นทั้งแหล่งเกษียณและแหล่งพักเงิน คล้ายกับรูปแบบการฟอกเงินในยุคก่อนที่ยังพึ่งพาเงินสด เมื่อได้เงินจากการหลอกลวงมา ก็โอนเข้าบัญชีไทย ก่อนจะถอนออกมาเป็นเงินสด

 

“ในท้ายที่สุดเงินสดเหล่านี้ต้องถูกจัดการอย่างเร่งด่วนเพื่อให้เข้าสู่ระบบ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อบ้าน คอนโด เปิดร้านอาหาร ร้านหม่าล่า หรือกิจการใดก็ตาม เพื่อเปลี่ยนเงินสดให้กลายเป็นกิจการ และให้กิจการนั้นสร้างเงินสดที่ดูบริสุทธิ์ออกมาอีกครั้ง

 

“ในกัมพูชานิยมใช้วิธีทำดีลกับร้านค้าต่างๆ โดยนำเงินไปผ่านร้านนั้นโดยไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้าจริง เสียค่าดำเนินการประมาณ 10-15% เงินก็จะกลายเป็นรายได้จากการขายสินค้า ก่อนจะย้อนกลับสู่มือของกลุ่มทุนอาชญากรรมอีกครั้ง”

 

อย่างไรก็ตาม การไปถึงขั้นซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือเปิดกิจการบังหน้าไม่ใช่เรื่องง่าย อาชญากรสแกมเมอร์จำนวนมากมีรายชื่ออยู่ในบัญชีดำของหลายประเทศ หรือมีบัญชีหมุนเงินอยู่แล้ว หากเปิดบัญชีใหม่จำนวนมากด้วยชื่อตนเองย่อมเป็นที่ผิดสังเกต วิธีการแก้ปัญหาคือการใช้นอมินีหรือที่เรียกกันว่า ‘บัญชีม้า’

 

ข้อมูลจากตำรวจไซเบอร์อธิบายรูปแบบของบัญชีม้าในไทยว่ามี 2-3 ประเภทหลัก แบบแรกคือ ‘บัญชีม้าบุคคล’ เป็นคนทั่วไปที่รับจ้างเปิดบัญชีธนาคารด้วยชื่อตัวเอง เพื่อเป็นทางผ่านในการโยกย้ายเงินจากธนาคารหนึ่งไปยังอีกธนาคารหนึ่ง ส่วนแบบที่สองคือ ‘บัญชีม้าห้างหุ้นส่วน’ หมายถึงการเปิดบัญชีในนามบริษัทที่ดูผิวเผินเหมือนมีเงินหมุนเวียนประหนึ่งทำธุรกิจจริงๆ แต่พอเจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบ กลับพบว่าบริษัทที่ใช้อ้างในการเปิดบัญชีไม่มีอยู่จริง ที่อยู่บริษัทเป็นแค่ที่ดินว่างเปล่า ไม่มีอาคาร ไม่มีการทำธุรกิจ ที่ทำให้เกิดคำถามตามมาว่าแล้วทำไมถึงเปิดบัญชีหรือจดเป็นบริษัทได้ 

 

และอีกประเภทหนึ่งคือ ‘บัญชีม้าเทศ’ หมายถึงบัญชีม้าที่เปิดโดยชาวต่างชาติ และจะโอนเงินผิดกฎหมายโดยใช้ซิมผีหรือซิมม้าที่ไม่ได้ลงทะเบียนชื่อจริง เพื่อกดเงินสดผ่านตู้ ATM ในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการยืนยันตัวตนทางมือถือ

 

แม้การฟอกเงินในรูปแบบที่ว่ามาเหมือนจะมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง แต่เรื่องราวนี้ถือเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ในขบวนการฟอกเงินของอาชญากรสแกมเมอร์ เพราะเป็นการฟอกเงินในรูปแบบเอกชนขนาดเล็กไปจนถึงขนาดกลาง จำนวนเงินหมุนเวียนอาจจะยังไม่มากมายนักเมื่อเทียบกับการฟอกเงินในระดับที่ใหญ่กว่า มีตัวละครจำนวนมากที่จะทำให้วิธีการฟอกเงินซับซ้อนและถูกจับได้ยากยิ่งกว่าเดิม ซึ่งเงินที่ว่านี้มีจำนวนมหาศาลอย่างที่คาดไม่ถึง และเกี่ยวพันกับผลประโยชน์รัฐและประชาชนมากกว่าที่คิด

 

มหากาพย์ฟอกเงินผ่านตลาดหุ้นและกองทุนไทย

 

เมื่อเงินสกปรกของแก๊งหลอกลวงมีมากถึงหลักพันล้าน หมื่นล้าน หรือแสนล้านบาท การฟอกเงินแบบเดิมๆ เริ่มไม่เพียงพออีกต่อไป จึงเกิดไอเดียเอาเงินเข้าไปยังตลาดหุ้นหรือกองทุนต่างๆ ซื้อกรมธรรม์ประกันภัยขนาดใหญ่และตกลงให้บริษัทประกันนำเงินไปลงทุนในหุ้น รีเควสให้เอาเงินไปฟอกในเซกเตอร์ขนาดใหญ่ของประเทศอย่างอสังหาริมทรัพย์ พลังงาน Entertainment Complex สถาบันทางการเงิน แม้แต่กระดานคริปโต ไปจนถึงความพยายามเข้ายึดกุมสถาบันหลักของไทยผ่านการฟอกเงินกับหน่วยงานรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ บลจ. หรือบริษัทที่รัฐถือหุ้นอยู่

 

พอต้องการเอาเงินเข้าตลาดหุ้นหรือกองทุน แต่เงินยังคงเป็นเงินสกปรก สิ่งที่แก๊งสแกมเมอร์จำเป็นต้องมีคือ ‘บริษัทบังหน้า’ หรือหา ‘นายหน้า’ มาจัดการเพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยเรื่องที่มาของเงินที่จะเอาเข้ากองทุนหรือซื้อหุ้น เช่นกรณีบริษัทอสังหาริมทรัพย์อย่าง Prince Group ที่เปิดทำการอย่างถูกต้องตามกฎหมายไทย แต่จริงๆ แล้วเป็นที่ไว้ใช้ฟอกเงินเทา แล้วเอาเงินไปซื้อหุ้นผ่านกลไกของตลาดหลักทรัพย์หรือผ่านการตั้งกองทุน หรือกรณีที่บอร์ดบริษัทหลายเจ้าดูไม่มีความเชื่อมโยงกัน แต่เมื่อสืบทราบกลับพบว่าเป็นกลุ่มฟอกเงินเดียวกัน แล้วมารวมอยู่ในกองทุน หุ้น หรือ บลจ. เดียวกัน จนกลายเป็นมหากาพย์การฟอกเงินผ่านตลาดหุ้นและกองทุนของรัฐและเอกชนในไทย 

 

อีกวิธีหนึ่งก็ง่ายดายกว่าที่คิด คือกรณีที่บริษัทแห่งหนึ่งมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 10 ล้านบาท อยู่ไปสักพักเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 600 ล้านบาท แล้วเพิ่มเป็นพันล้านบาท จากนั้นก็ปิดบริษัทไปดื้อๆ ฟอกเงินจนเสร็จแล้วหนีหายไปโดยไม่ถูกจับกุม

 

ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินรายหนึ่งเล่าให้รายการ KEY MESSAGES ฟังว่า เหตุผลที่สังคมเพิ่งได้มองเห็นความผิดปกติที่เกิดในตลาดหุ้น กองทุน หรือกระดานคริปโต ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความคุ้นชินที่เห็นข่าวของเหล่าเศรษฐี นักการเมือง นักธุรกิจที่ทำธุรกิจปกติ แต่ต้องการฟอกเงินเพื่อเลี่ยงภาษีกันจนชินตาอยู่แล้ว เลยไม่มีใครคาดคิดว่าเป็นเงินของสแกมเมอร์ ทว่าเริ่มมีคนจับสังเกตพฤติกรรมการฟอกเงินของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติในไทยได้จากเคสบริษัทพลังงานแห่งหนึ่ง ที่พบว่ามี Unknown Player หรือผู้เล่นจากไหนไม่รู้กระโดดเข้ามากวาดหุ้นในราคาสูงจนได้ไปมากกว่า 20% 

 

นอกจากนี้ มีนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์สืบค้นเส้นทางการเงินที่ผิดปกติของบริษัทบริหารสินทรัพย์เจ้าหนึ่ง ที่พบว่าบริษัทนี้มีความเกี่ยวข้องกับ ‘นายหน้า B’ ผู้ถูกขึ้นแบล็กลิสต์เกือบทั่วโลกจากการทำสแกมเมอร์และฟอกเงิน และปัจจุบันมาทำธุรกิจที่ไม่มีใครตรวจสอบได้ชัดเจนอยู่แถวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

 

มีภาพถ่ายจำนวนมากหลุดออกสู่สาธารณะว่านายหน้า B รายนี้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเจ้าของธนาคารแห่งหนึ่งที่ปล่อยกู้แก่โครงการคาสิโนของแก๊งสแกมเมอร์ในประเทศเพื่อนบ้าน มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมืองในประเทศอาเซียน นักธุรกิจจีน-กัมพูชาเทาที่ทางการจีนและสหรัฐฯ หมายหัวขึ้นบัญชีดำ จากการฉ้อโกงออนไลน์ ค้ามนุษย์ ฟอกเงินผ่านสกุลเงินดิจิทัล สับเปลี่ยนเงินเทาเป็นสินทรัพย์ต่างๆ ในรูปแบบไฮบริดสแกม

 

ด้วยความใกล้ชิดที่ว่านี้ ทำให้เหล่านักวิชาการและนักการเงินเกิดข้อสงสัยว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งนี้มีที่มาของเงินที่บริสุทธิ์แท้จริงหรือไม่ แต่ด้วยความที่บริษัทบริหารสินทรัพย์นี้ลงทุนในกองทุนประเภทหุ้นกู้ที่ดึงเงินจากนักลงทุนหลายรายมาใช้ จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าใครเป็น UBO หรือผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง 

 

แหล่งข่าวของเรายังระบุอีกว่า มีกรณีที่น่าสนใจเกิดขึ้นกับสหกรณ์ที่มีอยู่ทั่วประเทศ และมีสินทรัพย์รวมแล้วหลักล้านล้านบาท เพราะโดยปกติแล้วสหกรณ์จะถูกหน่วยงานรัฐดูแลเพื่อไม่ให้เอาเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เพราะหากล้มขึ้นมาจะเกิดผลกระทบเป็นวงกว้าง แต่อยู่ๆ กลับมีร่างประกาศกระทรวงฉบับหนึ่ง เนื้อหาโดยสรุปคือการระบุว่าสหกรณ์ห้ามลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง แต่ถ้าจะลงทุนจริงๆ ต้องลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน หรือ บลจ. ที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐถือหุ้น และหนึ่งในนั้นคือบริษัทที่ผู้ถือหุ้นใหญ่มีความเชื่อมโยงกับนายหน้า B 

 

นั่นเท่ากับว่าหากประกาศดังกล่าวถูกบังคับใช้จริง กลุ่มเครือข่ายที่มีความเชื่อมโยงกับนายหน้า B ทั้งนักการเมืองต่างชาติ อาชญากร นักธุรกิจสีเทา ก็จะสามารถนำเงินเทาที่ไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนเข้าไปปะปนกับสินทรัพย์ระดับประเทศ และไม่ใช่แค่ว่าเอาเงินสกปรกไปปน แต่เมื่อเลือกเข้ามาลงทุนในบริษัทที่รัฐถือหุ้นและสามารถส่งอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐได้ ก็สามารถได้รับสิทธิพิเศษบางอย่าง เช่น เข้ามาบริหารจัดการสินทรัพย์ของสหกรณ์ได้ด้วย แต่โชคดีที่มีผู้คัดค้านการออกประกาศฉบับนี้จนทำให้ถูกตีตกไปเสียก่อน

 

นอกจากนี้ จากการเปิดเผยข้อมูลของนักวิชาการหลายกลุ่ม ยังระบุอีกว่าบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนดังกล่าวยังเป็นผู้ดูแลกองทุนรวมที่จัดตั้งโดยรัฐบาลไทยอีกด้วย

 

อีกเส้นทางการเงินที่น่าสนใจคือประเด็นค่าเงินบาทแข็งขึ้น โดยผลส่วนหนึ่งมาจากการนำไปซื้อขายทองคำ เพราะมีการจับสัญญาณความผิดปกติในการส่งออกทองไปกัมพูชา พบว่ามียอดพีคในช่วงเลือกตั้ง จึงอาจเป็นไปได้ว่าเงินจากแก๊งสแกมเมอร์ถูกโยกเข้ามาในไทยทั้งรูปแบบดอลลาร์ หรือ USDT แล้วแปลงเป็นเงินบาทเพื่อซื้อทองรูปพรรณ เป็นอีกหนึ่งวิธีฟอกเงินที่ง่ายดายกว่าการทำธุรกรรมกับสถาบันทางการเงินหรือผู้ให้บริการดิจิทัลต่างๆ เพราะการซื้อทองไม่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์และยืนยันตัวตนของลูกค้าว่าเอาเงินจากไหนมาซื้อ

 

กลายเป็นว่าพอแค่มีเงินก็ซื้อทองได้แล้ว พวกเขาก็เริ่มสะสมทองมากขึ้นเรื่อยๆ พอมีความจำเป็นต้องใช้เงินหรืออยากโยกสินทรัพย์ของตัวเองกลับไปยังกัมพูชา พฤติกรรมดังกล่าวที่เกิดมากขึ้นในไทยอาจเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เงินบาทแข็งค่า จากความต้องการเอาเงินสกุลอื่นที่ไม่มีที่มาที่ไป มาแปลงเป็นเงินบาท และนำเงินบาทไปซื้อทอง

 

จากเรื่องราวเหล่านี้ บางคนอาจมองว่านี่คือความจริงที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ บางคนอาจมองว่าเป็นการกล่าวหาที่ร้ายแรง เพราะถึงจะเห็นได้ชัดว่าเส้นทางการเงินจำนวนหนึ่งมีความผิดปกติ แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเงินที่มาจากขบวนการสแกมเมอร์ รวมถึงข้อมูลที่แต่ละคนถืออยู่ ก็ยังคงกระจัดกระจาย ยังไม่สามารถนำมารวมกันเพื่อเชื่อมต่อเส้นทางการฟอกเงินที่มีหลายสายและมีความซับซ้อนสูงได้สำเร็จ

 

จากข้อมูลจำนวนมากที่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน มูลค่าของเงินลงทุนที่นายหน้า B นำเข้ามายังตลาดหุ้นไทย มีมากกว่า 20,000 ล้านบาท ยังไม่รวมเงินลงทุนตามบริษัทอีกมากที่อยู่นอกตลาดหุ้นรวมแล้วหลายพันล้านบาท เวลานี้ไม่ใช่แค่ชื่อของนักการเมืองกัมพูชา หรือนักธุรกิจจีนและกัมพูชาเท่านั้นที่ถูกพูดถึง แต่ยังมีการพาดพิงชื่อของข้าราชการระดับสูง นักธุรกิจชื่อดังของไทย ไปจนถึงนักการเมืองและอดีตนักการเมืองระดับชาติ ที่ต้องสงสัยว่าทำไมถึงมีความสัมพันธ์กับนายหน้าฟอกเงินระดับโลก 

 

และด้วยอำนาจที่กลุ่มคนเหล่านี้มีอยู่ในมือ สิ่งที่จะต้องพิสูจน์ทราบให้แน่ชัดคือพวกเขามีส่วนร่วมด้วยช่วยกัน อำนวยความสะดวกให้แก๊งอาชญากรข้ามชาติสามารถฟอกเงินในไทยได้ง่ายดายขึ้นหรือไม่ ไปจนถึงข้อครหาที่รุนแรงยิ่งกว่าอย่างการตั้งคำถามของสังคมว่าหรือจริงๆ แล้ว บุคคลเหล่านี้อาจมีสถานะคล้ายกับนายจ้างที่โยนเงินให้นายหน้า B ไปฟอกด้วยกันแน่

 

เรื่องราวนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของพฤติกรรมต้องสงสัยของเครือข่ายสแกมเมอร์ที่เข้ามาฟอกเงินในตลาดหุ้นและกองทุนไทย สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้คงไม่ใช่แค่ตัวอย่างของกลุ่มนายหน้า B เพียงคนเดียว แต่ขบวนการเหล่านี้ยังมีผู้เล่นและนายหน้าอีกมาก ที่ยังคงใช้ประเทศไทยเป็นฐานที่มั่นในการฟอกเงินแบบนี้ต่อไป 

 

ไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการฟอกเงินโลก?

 

ถ้าเรามองเฉพาะเส้นทางการเงินอย่างเดียว เราจะเห็นแค่ความผิดปกติทางตัวเลข แต่ถ้าถอยออกมาดูทั้งภาพใหญ่ เราจะได้เห็นถึงปัญหาโครงสร้างรัฐไทยที่ไม่แข็งแรง การบังคับใช้กฎหมายที่อ่อนแอ ความเจ็บปวดของผู้คนที่ถูกหลอกลวง และอำนาจบางอย่างที่ทำให้ไทยไม่สามารถจัดการกับขบวนการฟอกเงินของเหล่าอาชญากรสแกมเมอร์ได้อย่างจริงจัง หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่ดูจะมีแอกชันต่อการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มข้นอย่างกรณีของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ 

 

โครงสร้างรัฐไม่แข็งแรงมีความหมายกว้างขวาง ทั้งจากการที่ข้าราชการมักตอบว่าไม่สามารถแก้ปัญหาได้เพราะอยู่นอกเหนือขอบเขตความรับผิดชอบ ไม่เกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ จะต้องหาเจ้าภาพมาจัดการเรื่องนี้ก่อนจึงจะเริ่มแก้ปัญหาได้ รวมถึงการขาดการประสานงานด้านข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐด้วยกันเอง หรือหน่วยงานรัฐกับภาคเอกชนและภาคประชาชน เช่น กลต. ปปง. ธนาคารแห่งประเทศไทย ตำรวจไซเบอร์ และกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

 

การฟอกเงินสกปรกในทุกกระบวนการทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่เป็นปัญหาที่รอไม่ได้ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันกับความทุกข์ยากของประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะรวย จะจน จะอายุมากหรืออายุน้อย ทุกคนมีโอกาสที่จะถูกสแกมเมอร์หลอกให้สูญเสียทุกอย่างได้พอๆ กัน ดังนั้นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานของรัฐ คือการเร่งตัดวงจรการทำงานของสแกมเมอร์ ตัดเส้นทางการเงิน ตรวจสอบความผิดปกติในตลาดหุ้นและกองทุนอย่างจริงจัง และถ้าอย่างไรก็ยังหาเจ้าภาพรับผิดชอบไม่ได้ รัฐก็ควรจะต้องตั้งหน่วยงานหรือคณะทำงานเฉพาะกิจขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ 

 

แต่ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด หากเกิดการตั้งคณะทำงานขึ้นมาจริงๆ แล้วพบว่าบุคคลที่นั่งหัวโต๊ะมีความเกี่ยวข้องไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง กับผู้ถูกกล่าวหาว่าอยู่ในขบวนการฟอกเงินของกลุ่มอาชญากรรมสแกมเมอร์ ความกังวลของนักวิชาการและนักการเงินที่ติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด คือหน่วยงานไหนจะกล้าทำงานโดยไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะเดือดร้อน ไหนจะความกังวลที่ว่าจะเกิดการใช้อำนาจกดดันไม่ให้การจัดการคืบหน้าหรือเปล่า สังคมจะรู้ได้อย่างไรว่ารายงานผลการปฏิบัติงานที่ออกมาจะเป็นรายงานที่เป็นจริงและถูกต้อง หรือจากกรณีที่มีรายชื่อของบริษัทไทยอยู่ในบัญชีดำของทางการสหรัฐฯ แต่เราก็ยังไม่ได้เห็นว่ารัฐไทยติดตามจัดการไปถึงไหนแล้ว 

 

รัฐไทยจะต้องทำให้ทุกคนเห็นว่าเราจริงจังกับเรื่องนี้จะทำอย่างไรให้วัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิดหายไปจากสังคม เพื่อเป็นตัวอย่างให้อาชญากรทั่วโลกได้เห็นว่าไทยมีการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มงวด มีกระบวนการปราบปรามอาชญากรรมจริงจัง ไม่นิ่งเฉย ไม่นิ่งนอนใจ แสดงให้โลกเห็นว่าไทยใส่ใจกับการแก้ปัญหานี้ 

 

เพราะถ้าไม่แก้ สุดท้ายแล้วไทยอาจกลายเป็นศูนย์กลางของสิ่งที่เราไม่อยากจะเป็น เราจะเปลี่ยนจากความต้องการเป็น Financial Hub ดึงดูดการลงทุนที่ดี เป็นศูนย์กลางการอำนวยความสะดวกในการฟอกเงินระดับโลก และคงไม่มีใครได้ทันคาดคิดว่าพื้นที่ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการฟอกเงินสกปรกจำนวนมหาศาล ก็คือตลาดหุ้นและกองทุนของไทย

 

และด้วยความยากลำบากจากหลากหลายปัจจัยและเหตุผล ก็อาจจะทำให้ปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ ขบวนการฟอกเงินสกปรกที่ถูกระบุว่ามีอยู่จริงในประเทศไทย ไม่ได้รับการแก้ไขทันท่วงที แล้วค่อยๆ เลือนหายไปตามกาลเวลาเหมือนกับปัญหาอีกมากในประเทศนี้

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising