ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ดร.ปิยศักดิ์ มานะสันต์ Head of Economic Research ทีมวิจัยเศรษฐกิจและฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) มาฉายภาพความเสี่ยงและโอกาสที่รออยู่ในปีหน้า ซึ่งบรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยความท้าทาย ทั้งวัฏจักรเศรษฐกิจขาลง และปัจจัยการเมืองทั้งในและต่างประเทศ
ดร.ปิยศักดิ์ ให้ความเห็นว่าโมเมนตัมของวัฏจักรเศรษฐกิจโลกเริ่มเป็นขาลงชัดเจน โดยเฉพาะใน 3 ประเทศหลัก ได้แก่ สหรัฐฯ จีน และไทย สำหรับสหรัฐฯ ตลาดแรงงานเริ่มส่งสัญญาณชะลอตัว ขณะที่จีน ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญทั้งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและยอดค้าปลีกต่างออกมาน่าผิดหวัง
สำหรับประเทศไทย สัญญาณการชะลอตัวมีความชัดเจนมาก โดยโมเมนตัม GDP ลดลงต่อเนื่องและไตรมาส 4 ปีนี้คาดว่าจะขยายตัวเพียง 0% InnovestX ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้าจะเติบโตเพียง 1.4% เท่านั้น โดยไตรมาส 1 ปีหน้าอาจขยายตัวเพียง 0.4% ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่ต้องจับตา เนื่องจากภาคการลงทุนติดลบและการส่งออกยังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า
ความเสี่ยงนโยบายการเงินโลก และ ‘Fiscal Dominance’ จากสหรัฐฯ
ดร.ปิยศักดิ์ วิเคราะห์ว่าแม้นโยบายการเงินโลกจะเป็นขาลง (ดอกเบี้ยลด) แต่ปีหน้าจะเห็นความแตกต่าง (Divergence) มากขึ้น ญี่ปุ่นมีแนวโน้มขึ้นดอกเบี้ย ยูโรโซนอาจหยุดลดดอกเบี้ย ในขณะที่สหรัฐฯ (Fed) อาจลดดอกเบี้ยได้ไม่เยอะเท่าที่คาด
ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือ “ความเป็นอิสระของเฟด” ภายใต้อิทธิพลของ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ หากได้กลับมามีอำนาจ โดยมีการเก็งกันว่าผู้ท้าชิงประธานเฟดคนใหม่อาจเป็นบุคคลที่ทรัมป์สั่งการได้ เช่น Kevin Warsh หรือ Kevin Hassett หากเฟดถูกแทรกแซงให้ลดดอกเบี้ยหรือทำ QE เพื่อสนับสนุนนโยบายการคลัง (Fiscal Dominance) จะทำให้ดอลลาร์เสี่ยงต่อการเสื่อมค่าอย่างรุนแรง (Dollar Debasement) ซึ่งอาจเห็นดัชนีดอลลาร์ (DXY) ร่วงลงต่ำกว่า 80 จุด และจะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรุนแรงตามไปด้วย
การเมืองไทย 7 ความเสี่ยง และกับดักงบประมาณล่าช้า
ปัจจัยในประเทศที่ InnovestX ให้ความสำคัญสูงสุดคือ “การเมือง” โดยเฉพาะประเด็นการยุบสภาและการเลือกตั้ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบผ่าน 7 ความเสี่ยงหลัก ได้แก่
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชะงัก เช่น โครงการอย่าง ‘ช้อปดีมีคืน’ หรือมาตรการคนละครึ่งอาจถูกยกเลิกหรือชะลอไป
- FDI ชะลอตัว เพราะนักลงทุนต่างชาติรอความชัดเจนจากรัฐบาลใหม่
- สถานการณ์ชายแดน โดยหากมีความรุนแรงอาจกระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง
- งบประมาณปี 2570 ล่าช้า เพราะกระบวนการจัดทำงบประมาณอาจสะดุด หากการจัดตั้งรัฐบาลกินเวลานาน
- การเจรจาการค้า ส่งผลให้การเจรจา FTA หรือข้อตกลงต่างๆ ต้องหยุดชะงักเพราะไม่มีสภา
- โครงการเมกะโปรเจกต์แช่แข็ง: เช่น รถไฟความเร็วสูง หรือ Land Bridge ต้องรอรัฐบาลใหม่
- วินัยการคลัง ซึ่งรัฐบาลใหม่อาจเพิ่มการขาดดุลการคลัง ซึ่งเสี่ยงต่ออันดับความน่าเชื่อถือ
ดร.ปิยศักดิ์ ประเมินฉากทัศน์ (Scenario) ว่าหากเป็นรัฐบาลขั้วเดิม การจัดตั้งรัฐบาลจะไม่ล่าช้ามาก แต่หากมีการข้ามขั้ว หรือฝ่ายค้านชนะถล่มทลาย อาจทำให้กระบวนการจัดทำงบประมาณล่าช้าไป 3-6 เดือน ซึ่งจะกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.5-0.8%

ภาพ: วิกฤตการเมืองไทย 5 ทางออกที่เป็นไปได้ และ 7 ความเสี่ยงเศรษฐกิจ
แนวโน้มค่าเงินบาทและเงินเฟ้อ
ในส่วนของค่าเงินบาท InnovestX มองว่ายังมีแนวโน้ม “แข็งค่า” ต่อเนื่อง โดยมีโอกาสเห็นระดับ 31 บาทกว่าๆ สาเหตุหลักมาจากปริมาณเงิน (Money Supply) ของไทยที่เติบโตต่ำมากเมื่อเทียบกับโลก และโครงสร้างเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยไตรมาส 2 ปีหน้า บาทอาจอ่อนค่าลงชั่วคราวจากการลดดอกเบี้ยของไทย (คาดว่า กนง. จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีหน้า ช่วงเดือนเมษายนและสิงหาคม) ก่อนจะกลับมาแข็งค่าในช่วงปลายปี
ด้านเงินเฟ้อไทย อยู่ในภาวะที่น่ากังวล โดยมีแนวโน้มติดลบไปจนถึงครึ่งปีหน้า จากปัจจัยเชิงโครงสร้าง สังคมสูงวัย และการนำเข้าสินค้าราคาถูกจากจีน (เงินฝืด)
บทสรุปสำหรับนักลงทุน ปีแห่งการ ‘เก็บคอ-งอเข่า’
ดร.ปิยศักดิ์ ทิ้งท้ายด้วยคำแนะนำสำหรับภาคธุรกิจและนักลงทุนว่า ปีหน้าเป็นปีที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หรือใช้กลยุทธ์ “เก็บคอ-งอเข่า” เนื่องจากความเสี่ยงรอบด้านทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว สงครามค่าเงิน และความไม่แน่นอนทางการเมืองไทย การทำธุรกิจและการลงทุนจึงต้องเน้นความปลอดภัยและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด


