×

เอกนิติ ชูรีเซ็ตปัญหา 4 ด้าน วางยุทธศาสตร์ ตั้งเป้า 2569 เป็น ‘ปีแห่งการลงทุน’ มองแม้เศรษฐกิจปีนี้โตได้ 2% เป็นผลจากการ ‘กินบุญเก่า’

03.12.2025
  • LOADING...
เอกนิติ ชูรีเซ็ตปัญหา 4 ด้าน วางยุทธศาสตร์ ตั้งเป้า 2569 เป็น ‘ปีแห่งการลงทุน’ มองแม้เศรษฐกิจปีนี้โตได้ 2% เป็นผลจากการ ‘กินบุญเก่า’

รมว.คลัง ชูรีเซ็ตปัญหา 4 ด้าน วางยุทธศาสตร์ ‘ปีแห่งการลงทุน’ ในปี 2569 ดันการลงทุนธุรกิจใหม่ ชี้ไทยไม่ได้มีการลงทุนใหม่มานาน สะท้อนจากตัวเลขการลงทุนซึ่งเคยสูงระดับ 40% ของ GDP ก่อนปี 2540 แต่ปัจจุบันกลับเหลือเพียง 22% ซึ่งถือว่าหายไปเกือบครึ่ง

 

วันนี้ (2 ธันวาคม) ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในงาน Go Thailand 2026 Beyond Survival ซึ่งจัดโดยฐานเศรษฐกิจ ว่า ประเทศไทยมีปัญหา 4 ด้านให้ต้องรีเซ็ต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเศรษฐกิจ ความไร้เสถียรภาพ ความเหลื่อมล้ำ และปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องเร่งรีเซ็ตผ่านยุทธศาสตร์การลงทุนธุรกิจใหม่ในปี 2569 ทั้งด้านพลังงานสะอาด และสุขภาพ (Wellness)

 

รีเซ็ตการลงทุน หยุดพึ่งบุญเก่า

 

สำหรับปัญหาด้านเศรษฐกิจ ดร.เอกนิติระบุว่า เศรษฐกิจไทยโตต่ำลงเรื่อยๆ จากที่เคยโตเฉลี่ย 7% ในช่วงก่อนปี 2540 ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง และโต 5% หลังจากนั้น ขณะที่ปัจจุบันหล่นลงมาเหลือแค่ 3% แม้หากเศรษฐกิจปีนี้โตได้ 2% ก็ยังถือว่าหืดขึ้นคอ

 

อย่างไรก็ตาม ดร.เอกนิติ ระบุว่า แม้แต่ตัวเลขการขยายตัว 2% ของปีนี้ ก็ยังเป็นผลของการ ‘กินบุญเก่า’ จากการลงทุนในอดีต โดยชี้ว่าไทยไม่ได้มีการลงทุนใหม่มานาน สะท้อนจากตัวเลขการลงทุนซึ่งเคยสูงระดับ 40% ของ GDP ก่อนปี 2540 แต่ปัจจุบันกลับเหลือเพียง 22% ซึ่งถือว่าหายไปเกือบครึ่ง

 

ดร.เอกนิติระบุว่า แม้ไทยจะมีกิจการที่สามารถขยายตลาดไปยังต่างประเทศได้ มีศักยภาพในอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร (Food Processing) มีฐานอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ มีบริการเวลเนสอย่างดี แต่กลับไม่สามารถต่อยอดออกมาเป็นสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพได้

 

ทั้งหมดนี้ ดร.เอกนิติชี้ว่า ต้องรีเซ็ตด้วยการลงทุน โดยรัฐบาลได้หารือวางยุทธศาสตร์ปี 2569 ไว้ให้เป็น ‘ปีแห่งการลงทุน’ ดังนั้น “ถ้าเราอยากจะกลับมาเติบโตแบบเดิม เข้มแข็งเหมือนในอดีต เราต้องรีเซ็ตเรื่องการลงทุน” ดร.เอกนิติกล่าว

 

คุมวินัยการคลัง รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

 

แม้ว่าภาคธนาคารและทุนสำรองระหว่างประเทศจะมีความเข้มแข็งมากหลังวิกฤตปี 2540 โดยปัจจุบัน ไทยมีระดับหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ไม่ถึง 3% และมีทุนสำรองมากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นสูงถึง 2.5 เท่า

 

อย่างไรก็ตาม ฐานะการคลังที่อ่อนแรง กลับเป็นจุดอ่อนสำคัญ จนส่งผลให้ Rating Agency เตือนผ่านการปรับ ลดมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือไทยเป็น ‘เชิงลบ’ (Negative)

 

ทั้งนี้ ด้วยการคืนหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เพื่อแสดงวินัยการคลัง และการจัดทำแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium-Term Fiscal Framework) โดยตั้งเป้าดึงการขาดดุลให้ต่ำกว่า 3% ของ GDP ภายในปี 2572 ทำให้ล่าสุด S&P Global Ratings ได้คงอันดับเครดิตไทย ไว้ที่ระดับ ‘มีเสถียรภาพ’ (Stable) แล้ว

 

ลดเหลื่อมล้ำ ดันซัพพลายเชนโตทั้งระบบ

 

ดร.เอกนิติ สะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำขนาดใหญ่ในประเทศไทย เนื่องจากผู้มีรายได้สูง 20% บนของประเทศ ครองส่วนแบ่งรายได้ของประเทศถึง 50% ขณะที่ผู้มีรายได้ 20% ล่าง ครองส่วนแบ่งเพียง 6% เท่านั้น

 

นอกจากนี้ ผู้มีเงินฝากในธนาคารเกิน 1 ล้านบาท มีเพียง 1.6% ของประชากรในประเทศเท่านั้น แต่กลับครองสัดส่วนเงินฝากถึงกว่า 80% ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) ซึ่งคิดเป็น 90% ของผู้ประกอบการไทย ยังคงขาดสภาพคล่องและมีผลิตภาพต่ำ

 

ทั้งนี้ ดร.เอกนิติชี้ว่า รัฐบาลได้อนุมัติแพ็กเกจสนับสนุน SMEs รวมทั้งมาตรการ ‘พี่ช่วยน้อง’ ซึ่งเป็นลักษณะของ Supply Chain Financing โดยให้ธุรกิจพี่ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มาช่วยธุรกิจรายเล็กเข้ามาร่วมห่วงโซ่อุปทาน ผ่านการวางใบแจ้งหนี้ (Invoice) บนระบบ PromptBiz เพื่อสร้างสภาพคล่อง SMEs ระยะยาว

 

ไม่เพียงเท่านั้น ดร.เอกนิติยังเผยถึงมาตรการพัฒนาทักษะ Reskill/Upskill แรงงานในประเทศ ผ่านการอบรมคอร์สระยะสั้น โดยจะเป็นการ Set Standard ร่วมกับทักษะที่ภาคเอกชนต้องการ ตลอดจนออก Residence Visa เพื่อดึงแรงงานที่ไทยยังไม่มี

 

เข้าร่วมกติกาโลกใหม่ รับมือปัญหาสิ่งแวดล้อม

 

ดร.เอกนิติ ยกตัวอย่างถึงเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอหาดใหญ่ ว่าเป็นสัญญาณชัดของปัญหาโลกร้อน ซึ่งไทยจำเป็นต้องมีการถอดบทเรียน (Lesson Learned) เพื่อรับมือหากฝนมาอีก ซึ่งรัฐบาลจะตั้งคณะทำงานถอดบทเรียน โดยมีบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน

 

นอกจากนี้ ดร.เอกนิติยังกล่าวถึงกติกาการค้าโลกที่เปลี่ยนไป ทั้ง CBAM และ Green Loan ซึ่งถือเป็นโอกาสของธุรกิจไทย หากสามารถปรับตัวได้ทัน

 

ดันยุทธศาสตร์ อุตสาหกรรมอนาคต ปลดล็อกการลงทุน เร่งพัฒนาแรงงาน

 

ด้วยเหตุนี้ ดร.เอกนิติ จึงวางยุทธศาสตร์ให้ปี 2569 เป็น ‘ปีแห่งการลงทุน’ ของประเทศไทย โดยรัฐบาลเตรียมรีเซ็ตเศรษฐกิจผ่านการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมอนาคต ทั้งพลังงานสะอาด สุขภาพ และเทคโนโลยี พร้อมย้ำว่าประเทศไทยต้องหยุดพึ่ง ‘บุญเก่า’ และต้องดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่ให้ได้ทันทีผ่านการปลดล็อกกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค

 

โดยการแก้คอขวดเชิงกฎหมายจะเป็นหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ปีหน้า ซึ่งรัฐบาลจะเดินหน้า Fast Pass และ One Stop Service ที่ทำงานได้จริง ทั้งการขอน้ำ ขอไฟ ขอวีซ่าคนทำงาน ตลอดจนเร่ง ‘กิโยตินกฎหมาย’ เพื่อเปิดทางให้โครงการลงทุน 4.6 แสนล้านบาทเดินหน้าได้ในปี 2569 พร้อมประเมินว่าหากการปลดล็อกเกิดขึ้นทันเวลา จะช่วยดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่อีกกว่า 4 แสนล้านบาท

 

ด้านการเงินการคลัง รัฐบาลจะใช้งบประมาณอย่างมีวินัย และดึงเอกชนร่วมลงทุนโครงสร้างพื้นฐานผ่าน PPP และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยใช้โมเดลแบ่งรายได้ในอนาคต มาออกขายหน่วยลงทุนให้นักลงทุนมาร่วมลงทุน ผ่านการลิสต์ในตลาดหลักทรัพย์ แบบเดียวกับที่บรรดาบริษัทซึ่งมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) สูงมักทำ เพื่อให้สินทรัพย์ของบริษัทโตขึ้น ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการกำกับธรรมาภิบาล (Governance) ของตลาดหลักทรัพย์อีกด้วย

 

ขณะเดียวกัน รัฐบาลยังเดินหน้าแพ็กเกจลดเหลื่อมล้ำ ทั้งการรีสกิลแรงงาน การเปิดทางให้แรงงานต่างชาติซึ่งมีทักษะที่ไทยขาดแคลนเข้ามา รวมถึงการผลักดัน Supply Chain Financing ผ่าน PromptBiz เพื่อให้ธุรกิจใหญ่ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ SMEs และดันเข้าสู่ Green Supply Chain

 

สุดท้ายนี้ ดร.เอกนิติย้ำว่า การรีเซ็ตทั้ง 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ เสถียรภาพ ความเหลื่อมล้ำ และสิ่งแวดล้อม จะดำเนินควบคู่กับการปลดล็อกกติกาและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว ซึ่งจะเป็นกุญแจที่ทำให้เศรษฐกิจไทยกลับมาเติบโตอย่างกระจาย เป็นธรรม และยั่งยืน

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising