วันนี้ (25 พฤศจิกายน) ที่อาคารรัฐสภา กลุ่ม สว. ในบัญชีรายชื่อสำรอง นำโดย พล.ต.ท. คำรบ ปัญญาแก้ว และ อุทัย อัตถาพร เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงเลขาธิการวุฒิสภา เพื่อขอให้ทบทวนการเลือกประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คนใหม่ เนื่องจาก 2 กกต. ที่ได้รับตำแหน่งใหม่นั้น ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จึงอาจไม่เป็นธรรม และยื่นหนังสือต่อ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. ในกรณีดังกล่าวด้วย
นพ. เปรมศักดิ์กล่าวว่า ตามที่กรรมการการเลือกตั้ง ทั้งที่ดํารงตําแหน่งอยู่ และที่ได้รับมติจากวุฒิสภา แต่ยังไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ได้มีการประชุมกันเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และมีการลงมติเลือกประธานกรรมการการเลือกตั้งคนใหม่ ซึ่งมีเสียงสนับสนุน ณรงค์ กลั่นวารินทร์ 4 ต่อ 3 และเป็นเหตุให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่า มติดังกล่าวเป็นมติที่ชอบธรรมหรือไม่
เนื่องจาก กกต. 2 คน ที่ผ่านการลงมติโดย สว. เสียงข้างมากนั้น ยังไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดํารงตําแหน่งอย่างสมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อมีการเลือกประธาน กกต. คนใหม่ จึงเกิดคําถามอย่างมากมาย ดังนั้น วันนี้ กลุ่ม สว.สํารอง เห็นว่า เป็นประเด็นที่ควรจะต้องมีการพิจารณาถึงเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง จึงได้นําเรื่องนี้มายื่นเพื่อตรวจสอบกับเลขาธิการวุฒิสภา
นพ. เปรมศักดิ์ตั้งข้อสังเกตว่า น่าสงสัยว่าเหตุใดจึงมีการเรียกประชุม กกต. ในวันดังกล่าว เมื่อสืบค้นแล้วปรากฏว่า มีหนังสือของเลขาธิการวุฒิสภาไปถึงเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่องของให้เลือกประธานกรรมการการเลือกตั้ง ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน สรุปความได้ว่า เนื่องจากวุฒิสภาได้มีการลงมติเลือก กกต. 2 ท่าน ที่ผ่านมติไปแล้ว ก่อนปิดสมัยประชุม เพื่อแทนที่ตำแหน่งที่ว่าง
“อย่างไรก็ตาม กกต. 2 ท่านที่เลือกไปนั้น ยังไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ จึงเป็นที่น่าสงสัยอีกว่า ทําไมจึงต้องเร่งรัดเร่งรีบที่จะให้เลือกประธาน กกต. คนใหม่ โดยนัยที่ไม่สมบูรณ์ทางกฎหมายเช่นนี้” นพ. เปรมศักดิ์กล่าว
นพ. เปรมศักดิ์ระบุว่า เรื่องราวทั้งหมดจึงถูกมองว่า มีภารกิจเร่งรีบเรื่องใดที่จําเป็นต้องอาศัยเสียงของประธานและ กกต. ชุดใหม่ เพราะพบอีกว่า มี 2 เรื่องคือ คดีฮั้ว สว.ซึ่งจะมีการพิจารณาถึงวันที่ 15 ธันวาคม ที่ กกต. ชุดเก่า จะยังมีอํานาจพิจารณาอยู่ตามเวลาคดี ทำให้การเปลี่ยนก่อนวันดังกล่าว จะเป็นเหตุผลให้พลิกคดีได้หรือไม่ เนื่องจากจากสํานวนคดีก่อนหน้านี้แน่นหนามากว่า มีการดําเนินการผิดกฎหมายในขั้นตอนใด อย่างไร หากเปลี่ยนโครงสร้าง กกต. จะเป็นการพลิกคดี ทําให้ถือว่าเป่าคดี หรือทําให้คดีนั้นเป็นมวยล้มหรือไม่
นพ. เปรมศักดิ์ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ในระยะหลังนายกรัฐมนตรีไม่เป็นการบริหารราชการแผ่นดินตามตําแหน่งหน้าที่ แต่ไปมุ่งเรื่องประกาศระดมพลพรรคพวกจากบ้านใหญ่ต่างๆ มา เพื่อเตรียมการการเลือกตั้ง สส. ดังนั้น จึงต้องเตรียม กกต. ให้สอดคล้องรองรับกับการเลือกตั้งครั้งใหม่ที่จะถึงในเร็วๆ นี้
“นายกรัฐมนตรีก็เปิดประเด็นเองว่า อาจมีการยุบสภาในวันที่ 12 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันเปิดสมัยประชุมสภาฯ จึงเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับข้อสงสัยว่า หรือจะต้องเตรียม กกต. ให้เป็นเหมือนอย่างที่มีคําเคยกล่าวในอดีตว่า ‘กกต. ของเรา’ ก่อนที่จะลงสู่สนามเลือกตั้งหรือไม่”
นพ. เปรมศักดิ์เตือนว่า ต้องระวังทั้งเรื่องกฎหมาย และตรวจสอบอดีตของ กกต. เช่น ประธาน กกต. คนเดิม ที่ต้องคําพิพากษาถึงขั้นจําคุก ว่าได้มีการกระทําไม่ถูกกฎหมายอย่างไร ถึงได้รับโทษทัณฑ์รุนแรงขนาดนั้น จึงควรระมัดระวังความประพฤติที่อาจผิดกฎหมายของกรรมการการเลือกตั้งคนใหม่
นพ. เปรมศักดิ์กล่าวว่า เรื่องนี้ถือว่าเป็นการประพฤติมิชอบ สามารถยื่นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้มีมติสรุปส่งเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาได้ด้วยว่า เป็นการกระทําที่มิชอบด้วยกฎหมายอย่างไร มีโทษตามกฎหมายอย่างไร สอดคล้องกับมาตรา 157 หรือไม่
“ไม่ใช่เรื่องเล็ก บางครั้งมีการเปิดตัวเพื่อกลบกระแส แต่การเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นนี้ ต้องเรียนว่า หากเกิดจากกรรมการการเลือกตั้งชุดใด สีใด มีความลําเอียงที่อาจเกิดทางการเมืองหรือไม่ เพราะถ้าถูกกฎหมาย แต่ไม่ชอบธรรม ก็ทําให้พังทลายได้เหมือนกัน”
ด้าน พล.ต.ท. คำรบ ปัญญาแก้ว สว. ในบัญชีรายชื่อสำรอง เป็นตัวแทนคณะ สว. สำรอง ระบุว่า ได้ยื่นเรื่องต่อเลขาธิการวุฒิสภา สืบเนื่องจากที่เคยทำหนังสือแจ้งให้ กกต. เลือกประธาน กกต. โดยอ้างว่า สว. ได้ให้ความเห็นชอบ กกต. 2 ท่านแล้ว แต่ยังไม่ได้นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ แต่อย่างใด จากนั้นเมื่อ 18 พฤศจิกายน กกต. ก็ได้มีการประชุมกันโดยมี กกต. 5 ท่านเดิม และอีก 2 ท่าน ที่ยังไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ นายณรงค์ กลั่นวารินทร์ ได้ 4 คะแนน ขณะที่ นายสิทธิโชติ อินทรวิเศษ ได้ 3 คะแนน
พล.ต.ท.คำรบ กล่าวต่อว่า สื่อมวลชนและนักวิชาการหลายท่านได้วิพากษ์วิจารณ์ว่า การเลือกประธาน กกต. ในครั้งนี้ถูกต้องชอบธรรมโดยกฎหมายหรือไม่ แม้เลขาธิการวุฒิสภาจะอ้างว่า ดำเนินการตามมาตรา 12 วรรค 9 ก็จริง แต่เนื่องจากในมาตรา 15 อิทธิพร บุญประคอง รักษาการประธาน กกต. ก็ยังเป็น กกต. และยังรักษาการอยู่ ความเป็นประธาน กกต. ของอิทธิพรจึงยังคงอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ ดังนั้น การเลือกประธาน กกต. ขึ้นมาแทน จึงเหมือนการเลือกซ้อนหรือไม่
ทั้งนี้ มาตรา 12 วรรค 9 ของ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วย กกต. ระบุว่า “เมื่อมีผู้ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาแล้ว หากเป็นกรณีที่ประธานกรรมการพ้นจากตำแหน่งด้วย ให้ผู้ได้รับความเห็นชอบร่วมกับกรรมการซึ่งยังไม่พ้นตำแหน่ง ถ้ามีเพื่อการเลือกกันเองให้หนึ่งคนเป็นประธานกรรมการแล้วแจ้งผลให้ประธานวุฒิสภาทราบ”
พล.ต.ท.คำรบ กล่าวว่า ในเมื่อเกิดความสงสัยเช่นนี้ ก็ควรทำให้ชัดเจน จะได้ไม่มีข้อกังขากันต่อไป จึงได้นำหนังสือขอให้เลขาธิการวุฒิสภาได้ทบทวนเรื่องนี้ ก่อนจะนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ ให้เกิดความชัดเจน


