ทำไมน้ำท่วมสงขลาครั้งนี้ถึงรุนแรงมาก สถิติฝนถล่ม รอบ 300 ปี ทุบสถิติมหาอุทกภัยในอดีต
วิกฤตครั้งนี้เกิดจากปริมาณฝนที่ตกลงมาอย่างหนักหน่วงและผิดปกติ สำหรับจังหวัดสงขลา มีฝนตกหนักครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยเฉพาะที่อำเภอหาดใหญ่ ที่วัดปริมาณฝนสูงสุดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน ได้ 335 มม.ซึ่งเป็นปริมาณฝนตกหนักในรอบ 300 ปี (ตามหลักสถิติอุทกวิทยา หมายถึงปริมาณฝนที่มีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก)
ฝนลักษณะนี้ไม่ใช่เพียง ‘ฝนหนักช่วงมรสุม’ ทั่วไป แต่เป็นเหตุการณ์ฝนสุดขั้ว (extreme rainfall) ที่เชื่อมโยงกับแนวโน้มสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญเหตุการณ์คล้ายกันหลายประเทศ
สำหรับปริมาณฝนสะสม 3 วันย้อนหลัง (19-21 พฤศจิกายน) วัดได้สูงสุดถึง 630 มม. ซึ่งสูงกว่าปริมาณฝนสะสมที่เคยเกิดขึ้นในเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2543 และ 2553 ทำให้ระบบระบายน้ำและพื้นที่รับน้ำไม่สามารถรองรับได้ทัน
หาดใหญ่ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำ รับน้ำจากภูเขาและพื้นที่สูงรอบด้าน โดยเฉพาะมวลน้ำจาก อำเภอสะเดา ที่ไหลผ่าน คลองอู่ตะเภา เข้าสู่ตัวเมือง เมื่อฝนตกหนักต่อเนื่อง น้ำในคลองหลักและคลองสาขาหลายสายจึงล้นตลิ่งอย่างรวดเร็ว
ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำและนักวิเคราะห์ในสื่อไทยอธิบายว่า เมืองหาดใหญ่มีลักษณะ ‘แอ่งกะทะ’ ถ้าน้ำทะลักเข้ามาในปริมาณมากพร้อมกัน จะกลายเป็นแอ่งรับน้ำโดยปริยาย หากการระบายน้ำออกสู่ทะเลสาบสงขลาและอ่าวไทยไม่ทัน ก็จะเกิดภาวะท่วมขังนานกว่าปกติ
สถานการณ์เกิดจากปัจจัยซ้อนเร่งทั้งทางภูมิอากาศและภูมิศาสตร์
1. ปัจจัยทางภูมิอากาศ: อิทธิพลจากสภาวะลานีญา ที่เพิ่มความชื้นในอากาศ ผนวกกับหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงบริเวณทะเลอันดามัน/มาเลเซีย และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทย นอกจากนี้ มวลอากาศเย็นจากจีนยังแผ่ลงมากดร่องมรสุมให้ต่ำลง ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักแบบ Extreme Weather
2. ปัจจัยทางภูมิศาสตร์: พื้นที่หาดใหญ่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะ หรือพื้นที่ลุ่มต่ำ รับน้ำจากภูเขาที่ล้อมรอบถึง 3 ด้าน (เขาคอหงส์ทิศตะวันออก, เทือกเขาบรรทัดทิศตะวันตก, เทือกเขาสันกาลาคีรีทิศใต้) น้ำทั้งหมดไหลมารวมกันที่ คลองอู่ตะเภา ซึ่งระบายออกสู่ทะเลสาบสงขลาได้ยากโดยเฉพาะช่วงน้ำทะเลหนุน ประกอบกับการขยายตัวของเมืองทำให้ความเสี่ยงเพิ่มสูงขึ้น
ผลกระทบวงกว้าง 16 อำเภอประกาศภัยพิบัติ ประชาชนเดือดร้อนกว่า 6 แสนราย
จังหวัดสงขลาได้ประกาศให้ทั้ง 16 อำเภอ เป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติฉุกเฉิน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน)
- พื้นที่เสียหาย: ครอบคลุม 16 อำเภอ 100 ตำบล 637 หมู่บ้าน โดยพื้นที่วิกฤตระดับ หนักมาก ได้แก่ หาดใหญ่ รัตภูมิ และนาหม่อม
- ผู้ประสบภัย: รวม 243,568 ครัวเรือน หรือ 635,423 คน (เฉพาะหาดใหญ่กว่า 243,000 คน)
- ความสูญเสีย: มีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 1 ราย
ขณะที่ GISTDA รายงานสถานการณ์น้ำท่วมล่าสุด ณ วันที่ 24 พฤศจิกายน จากการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม Sentinel-1A เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการน้ำท่วมในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย พบพื้นที่น้ำท่วมขังรวมประมาณ 334,895 ไร่ ครอบคลุมบางส่วนของ 7 จังหวัด ได้แก่ สงขลา ปัตตานี พัทลุง นครศรีธรรมราช นราธิวาส ยะลา และสตูล
ประปาล่ม-รถไฟหยุด-นักท่องเที่ยวติดค้าง
มวลน้ำจากคลองอู่ตะเภาที่ล้นตลิ่ง สมทบกับน้ำจาก อำเภอสะเดา และ อำเภอคลองหอยโข่ง ได้สร้างความเสียหายรุนแรงต่อโครงสร้างพื้นฐาน
- ประปาหยุดจ่ายน้ำ: โรงกรองน้ำการประปาส่วนภูมิภาคสาขาหาดใหญ่ ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 3 เมตร (สูงกว่าปี 53) ไม่สามารถเดินเครื่องผลิตและจ่ายน้ำได้
- คมนาคมตัดขาด: การรถไฟฯ ประกาศปิดย่านสถานีชุมทางหาดใหญ่ตั้งแต่ 07.00 น. ของวันที่ 22 พฤศจิกายน พร้อมตัดกระแสไฟฟ้า เส้นทางสายสุไหงโก-ลก และช่วงนาม่วง – วัดควนมีด – จะนะ – คลองแงะ ถูกปิดการเดินรถทั้งหมด
- นักท่องเที่ยวตกค้าง: มีนักท่องเที่ยวประมาณ 800 – 1,000 คน ติดค้างในโรงแรมเนื่องจากรถเล็กเข้าไม่ได้ ภาครัฐต้องใช้รถบรรทุก 10 ล้อลำเลียงอาหารและน้ำดื่มเข้าไปช่วยเหลือ
ซึ่งน้ำท่วมครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงที่หาดใหญ่และสงขลากำลังรับนักท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเฉพาะจากประเทศมาเลเซีย มีรายงานว่านักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียประมาณ 4,000 คน ติดค้างในหาดใหญ่และพื้นที่ต่างๆ ของสงขลา เพราะน้ำท่วมตัดเส้นทางและยกเลิกการเดินทางบางส่วน
สั่งอพยพด่วน-เยียวยาทันที หลังน้ำขึ้นรอบสอง
ในวันนี้ (24 พฤศจิกายน) มวลน้ำจากอำเภอสะเดา ไหลลงคลองอู่ตะเภาเข้าสู่ตัวเมืองหาดใหญ่อีกระลอก ทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นอีกรอบในหลายชุมชน แม้บางพื้นที่จะเริ่มเห็นแนวโน้มลดลงก่อนหน้านั้นแล้วก็ตาม
มีรายงานว่าหลายชุมชนยัง ขาดน้ำดื่มและอาหาร เนื่องจากระดับน้ำยังสูง รถช่วยเหลือเข้าไม่ถึง ต้องใช้เรือหรือรถยกสูงเท่านั้น
จุดสำคัญอย่างโรงพยาบาลหาดใหญ่ถูกน้ำท่วมรอบนอก แต่ยังสามารถเปิดให้บริการผู้ป่วยใน ผู้ป่วยวิกฤต และเคสฉุกเฉินได้ตามปกติ โดยมีการสำรองทรัพยากร เช่น อาหาร น้ำมัน ออกซิเจน ได้อย่างน้อยราว 3 วัน พร้อมวางแผนลำเลียงเสบียงจากอำเภอใกล้เคียงในกรณีฉุกเฉิน
รัฐศาสตร์ ชิดชู ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้ประชุมศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ฯ ในวันเดียวกัน โดยมีมาตรการเร่งด่วนดังนี้
1. ขีดเส้นตายอพยพ: สั่งอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบางให้เสร็จสิ้นก่อน 16.00 น. ของวันที่ 24 พฤศจิกายน ไปยังศูนย์พักพิงหลัก ณ หอประชุมนานาชาติ ม.อ. (รองรับ 5,000 คน) และ มรภ.สงขลา (รองรับ 2,000 คน)
2. ระดมสรรพกำลัง: จัดตั้งศูนย์ส่วนหน้า อ.หาดใหญ่ โดยใช้กองทัพภาคที่ 4 เป็นแกนหลัก ระดมรถยกสูงทหาร/รถ ปภ./เรือท้องแบนกว่า 100 คัน ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ 80 เครื่องใน 68 จุด และแจกจ่ายข้าวกล่องวันละ 20,000 กล่อง
3. เยียวยาพิเศษ: นายกรัฐมนตรีสั่งการให้จ่ายเงินเยียวยาครัวเรือนละ 9,000 บาท ทันทีโดยไม่ต้องรอผลสำรวจความเสียหาย
จับตา 24 ชม. ข้างหน้า ฝนยังไม่หยุด
ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคใต้ฝั่งตะวันออกเตือนว่า สงขลายังมีฝนตกหนักต่อเนื่องร้อยละ 70 ของพื้นที่ ไปจนถึงวันที่ 25 พฤศจิกายน และกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าฝนอาจตกต่อเนื่องถึงวันที่ 29 พฤศจิกายน แม้ร่องมรสุมจะเริ่มเคลื่อนตัวออก แต่ระดับน้ำในลำคลองยังสูง เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ส่วนชาวเรือควรงดออกจากฝั่งเนื่องจากคลื่นลมแรง 2-3 เมตร จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า ฝนที่ตกหนักในพื้นที่ต้นน้ำ ทำให้ที่บริเวณสถานี X.173A อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น คาดว่าในวันนี้จะเพิ่มสูงกว่าระดับตลิ่งประมาณ 1.90 เมตร หรือสูงกว่าระดับน้ำปัจจุบัน (เวลา 9.00 น. ของวันนี้) อีก 0.55 เมตร รวมถึงจะส่งผลต่อเนื่องถึงพื้นที่ตอนกลางและปลายน้ำ
โดยคาดว่าในวันพรุ่งนี้ (25 พฤศจิกายน 2568) ช่วงเวลาประมาณ 00.00 – 01.00 น. ที่สถานี X.90 อำเภอคลองหอยโข่ง จังหวัดสงขลา ระดับน้ำจะเพิ่มสูงกว่าระดับตลิ่งราว 2.26 – 2.46 เมตร หรือสูงกว่าระดับน้ำปัจจุบัน 0.30 – 0.50 เมตร และในช่วงเวลาประมาณ 06.00 – 07.00 น. ที่สถานี X.44 อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ระดับน้ำจะเพิ่มสูงกว่าระดับตลิ่ง 2.00 – 2.20 เมตร หรือสูงกว่าระดับน้ำปัจจุบัน 1.25 – 1.45 เมตร
สำหรับเหตุการณ์ น้ำท่วมใหญ่ภาคใต้ จังหวัดสงขลา ปี 2568 คือ สัญญาณเตือนว่า สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป ทำให้ฝนหนักสุดขั้วเกิดบ่อยขึ้น เมืองที่เติบโตเร็วกว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านน้ำ กำลังกลายเป็นจุดเปราะบาง
การจัดการน้ำไม่ใช่แค่เรื่องของเขื่อนและคลอง แต่เป็นเรื่องของผังเมือง เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ระบบสาธารณสุข และชีวิตผู้คนทั้งภูมิภาค
สำหรับชาวสงขลาและหาดใหญ่ วันนี้คือวันที่ต้องอยู่กับน้ำและรอให้สถานการณ์คลี่คลาย แต่สำหรับสังคมไทยโดยรวม วิกฤตครั้งนี้ควรถูกจดจำไม่ใช่แค่ในฐานะ น้ำท่วมใหญ่ครั้งหนึ่ง แต่เป็น จุดเริ่มต้นของการทบทวนวิธีจัดการน้ำและเมืองทั้งระบบ
THE STANDARD ขอส่งกำลังใจ และจะติตตามรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง
อ้างอิง:
- กรมอุตุนิยมวิทยา
- Thai PBS
- รายงานวิจัย การบริหารจัดการอุทกภัยของโครงสร้างพื้นฐานหลักของเมืองหาดใหญ่แบบบูรณาการ
- สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)
- สำนักข่าว AP
- Khaosod Enghlish
- เพจประชาสัมพันธ์จังหวัดสงขลา
- GISTDA


