ศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีชิลี เป็นหนึ่งในการเลือกตั้งที่กำลังเป็นที่จับตามอง หลังแคนดิเดตสองคนสุดท้ายในรอบตัดสินซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 14 ธันวาคม 2025 มาจากพรรคฝ่ายซ้ายอย่าง ‘พรรคคอมมิวนิสต์’ และพรรคฝ่ายขวาจัดอย่าง ‘พรรครีพับลิกัน’ ซึ่งผลการเลือกตั้งครั้งนี้อาจสะท้อนการเปลี่ยนแปลงทิศทางทางการเมืองครั้งใหญ่ในชิลี
รู้จักแคนดิเดตสองคนสุดท้าย
คนแรกคือ ฌาเนตต์ ฮารา (Jeannette Jara) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในสมัยรัฐบาลประธานาธิบดีกาเบรียล บอริก วัย 51 ปี ผู้สมัครจากพรรคคอมมิวนิสต์ และเป็นตัวแทนของแนวร่วมฝ่ายซ้าย Unidad por Chile โดยนักวิเคราะห์หลายคนมองว่า เธอมีจุดยืนทางการเมืองที่จัดอยู่ใน ‘กลุ่มซ้ายกลางและสายปฏิบัติการ’ (Broadly Center-Left and Pragmatic) ในทางปฏิบัติ
ฮาราเป็นหนึ่งในผู้สมัครจากชนชั้นแรงงานเพียงไม่กี่คนในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาที่ได้เป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีชิลี อีกทั้งการลงสมัครของเธอถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชิลีสมัยใหม่ที่ผู้สมัครจากพรรคคอมมิวนิสต์ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตรทางการเมืองหลัก โดยเธอได้รับคะแนนเสียงในรอบแรกมาเป็นอันดับที่ 1 ด้วยคะแนน 26.85%
กลยุทธ์และนโยบายที่สำคัญ: เธอได้พยายามที่จะรักษาระยะห่างจากรัฐบาลของบอริกที่กำลังมีคะแนนนิยมตกต่ำ และหาเสียงด้วยนโยบายที่เน้นความสามารถในการใช้จ่าย (Affordability) เน้นความเป็นอยู่ราคาไม่แพง บนพื้นฐานของความจริง โดยเธอให้คำมั่นที่จะเพิ่มผลประโยชน์บำนาญ, ลดค่าสาธารณูปโภค, ขยายการก่อสร้างที่อยู่อาศัย, เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ, จ้างตำรวจเพิ่ม รวมถึงเพิ่มความเข้มงวดด้านความมั่นคงชายแดน, เนรเทศชาวต่างชาติที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดในคดีที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด และปราบปรามอาชญากรรมอย่างเข้มงวด
แคนดิเดตอีกคนคือ โฮเซ่ อันโตนิโอ คาสต์ (José Antonio Kast) ผู้นำฝ่ายขวาจัดวัย 59 ปี ผู้ก่อตั้งพรรครีพับลิกันชิลี (PRCh) มีคะแนนมาเป็นอันดับที่ 2 ในการเลือกตั้งรอบแรก ด้วยคะแนน 23.92%
กลยุทธ์และนโยบายที่สำคัญ: นโยบายหลักเน้นไปที่การปราบปรามผู้อพยพและการย้ายถิ่นฐานอย่างเข้มงวด รวมถึงการสร้างกำแพง รั้ว และคูน้ำตามแนวชายแดนชิลีที่ติดกับโบลิเวียและเปรู เพื่อกีดกันผู้อพยพและผู้ขอลี้ภัย
คาสต์ให้คำมั่นว่าจะดำเนินการเนรเทศผู้ที่ไม่มีเอกสารและผู้ที่เข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายจำนวนมากพร้อมสัญญาว่าจะ ‘สร้างชิลีขึ้นมาใหม่’ หลังจากการบริหารประเทศของรัฐบาลบอริกที่เขามองว่า ‘อาจเป็นรัฐบาลที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยของชิลี’
เขายังต่อต้านการทำแท้งแม้ในกรณีข่มขืน รวมถึงวิพากษ์วิจารณ์การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและชนพื้นเมือง และต้องการลดค่าใช้จ่ายและขนาดรัฐอีกด้วย โดยคาสต์มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากมีจุดยืนทางการเมืองในแนวทางเดียวกัน
ประเด็นน่าจับตามองในการเลือกตั้ง ปธน.ชิลี 2025
1. การเปลี่ยนแปลงทิศทางทางการเมืองครั้งใหญ่ (Political Turning Point)
เมื่อชิลีเอียงขวามากขึ้น: การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณถึง ‘การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่’ แม้ในการเลือกตั้งรอบแรก แคนดิเดตจากฝ่ายขวาจัดจะมีคะแนนมาเป็นอันดับที่ 2 แต่ในภาพรวมแล้ว บรรดาผู้สมัครจากฝ่ายขวาได้รับคะแนนเสียงรวมกันสูงถึงราว 70% ของการเลือกตั้งรอบแรก
การสิ้นสุดกระแสนิยมฝ่ายซ้าย: การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเครื่องหมายของการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จาก ‘กระแสความหวังในฝ่ายซ้าย’ (Wave of Left-Wing Optimism) ที่เคยนำพาประธานาธิบดีบอริกก้าวขึ้นสู่อำนาจ ในปี 2021 ด้วยการเอาชนะ โฮเซ่ อันโตนิโอ คาสต์ ผู้นำฝ่ายขวาจัด ในการเลือกตั้งรอบสุดท้าย ด้วยคะแนน 55.87% แต่คะแนนนิยมของรัฐบาลบอริกได้ลดลงอย่างมากในปัจจุบัน โดยนักวิเคราะห์ชี้ว่าสาเหตุหลักมาจากภาวะเศรษฐกิจซบเซา, ความติดขัดในการออกกฎหมาย และความกังวลด้านความปลอดภัยสาธารณะ
การเลือกตั้งนี้ยังถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดในฐานะตัวชี้วัดชะตากรรมในวงกว้างของฝ่ายซ้ายในอเมริกาใต้ ซึ่งเพิ่งประสบความล้มเหลวในประเทศอื่น ๆ เช่น อาร์เจนตินาและโบลิเวีย หากคาสต์ชนะเลือกตั้ง ชิลีจะเป็นประเทศล่าสุดในลาตินอเมริกาที่หันไปทางขวามากยิ่งขึ้น
2. การควบคุมรัฐสภาและฝ่ายบริหารโดยฝ่ายขวา
ควบคุมเบ็ดเสร็จหลังยุคเผด็จการ: ปัจจุบันแนวร่วมฝ่ายซ้ายที่บริหารประเทศอยู่มีเสียงข้างน้อยทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา หากฝ่ายขวาได้รับชัยชนะทั้งในตำแหน่งประธานาธิบดีจากผลคะแนนของคาสต์ และได้เสียงข้างมากในรัฐสภา จะถือเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารถูกควบคุมโดยฝ่ายขวา นับตั้งแต่สิ้นสุดยุคการปกครองแบบเผด็จการของนายพล ออกุสโต ปิโนเชในปี 1990
ความท้าทายของฮารา: แม้ว่า ฌาเนตต์ ฮารา จะชนะคะแนนเสียงในรอบแรก แต่การที่คะแนนรวมของบรรดาผู้สมัครฝ่ายขวาซึ่งขณะนี้หลายคนประกาศสนับสนุนให้คาสต์เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของชิลี ทำให้นักวิเคราะห์มองว่า การที่เธอจะชนะในการเลือกตั้งรอบสุดท้ายในวันที่ 14 ธันวาคมนี้นั้นดู ‘ไม่น่าจะเป็นไปได้’ (Unlikely)
3. ประเด็นหลักที่ครอบงำการเลือกตั้ง
ความมั่นคงและอาชญากรรม: การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกครอบงำด้วย ‘ความกังวลของสาธารณชน’ ที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับปัญหาด้านกฎหมายและความสงบเรียบร้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มขึ้นของคดีฆาตกรรม, การลักพาตัว, และการกรรโชกทรัพย์ในประเทศชิลี ซึ่งเคยได้รับฉายาว่าเป็นหนึ่งใน ‘ประเทศที่ปลอดภัยที่สุดในลาตินอเมริกา’
ผู้อพยพและการย้ายถิ่นฐาน: ประเด็นการย้ายถิ่นฐานเป็นอีกประเด็นสำคัญที่ครอบงำการรณรงค์หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งนี้ เนื่องจากจำนวนประชากรต่างชาติในชิลีได้เพิ่มขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่ปี 2017 ผู้สมัครได้ให้คำมั่นที่จะต่อสู้กับแก๊งอาชญากรรมต่างชาติ และแคนดิเดตจากฝ่ายขวาจัดอย่างคาสต์ก็ได้หาเสียงด้วยการให้คำมั่นว่าจะใช้มาตรการปราบปรามที่รุนแรง รวมถึงการสร้างกำแพงและคูน้ำตามแนวชายแดน
การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้ จะเป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรัฐสภาครั้งแรก นับตั้งแต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2022 ซึ่งได้นำ ‘การลงคะแนนเสียงภาคบังคับ’ (Compulsory Voting) กลับมาใช้อีกครั้ง โดยพลเมืองที่มีสิทธิลงคะแนนเสียงที่ไม่มาใช้สิทธิเลือกตั้งจะถูกปรับประมาณ 33,000 เปโซ (ราว 1,150 บาท) การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้มีผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนในการเลือกตั้งรอบแรก ‘สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ’ เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งปี 2021
ร่วมจับตาดูการเลือกตั้งประธานาธิบดีชิลีรอบสุดท้ายในวันที่ 14 ธันวาคมนี้ว่า ใครจะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ทางอุดมการณ์ที่เข้มข้นที่สุดในรอบหลายปี และก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำชิลีคนต่อไป
ภาพ: Reuters / Shutterstock
อ้างอิง:
- https://www.theguardian.com/world/2025/nov/17/far-right-candidate-jose-antonio-kast-favourite-to-become-chiles-next-president-after-first-round-vote
- https://www.bbc.com/news/articles/c0jd0v8dvpwo
- https://www.aljazeera.com/news/2025/11/17/chile-faces-presidential-runoff-between-leftist-jara-and-far-rights-kast


