ดร.วิรไทชี้ ตัวชี้วัดพัฒนาการเศรษฐกิจไทย ‘ด้อยลง’ แทบทุกด้าน สะท้อนเศรษฐกิจไทยติดหล่ม เตือนยิ่งติดหล่มนาน ไทยจะมีโอกาสดิ่งเหวเร็วขึ้น-ลึกขึ้น และจะขึ้นจากเหวได้ยากขึ้นด้วย จากทรัพยากรที่ร่อยหรอลงเรื่อยๆ ย้ำไทยต้อง ‘คิดเรื่องใหญ่ มองให้ไกล ใส่เลนส์ใหม่ และทำให้จริง’
ดร.วิรไท สันติประภพ ประธานคณะกรรมการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงานสัมมนาสาธารณะประจำปี 2568 ในหัวข้อ ‘Reimagining Thailand’s Development Model: ก้าวข้ามโลกเก่า ด้วยโมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศ’
โดยระบุว่า ตัวชี้วัดพัฒนาการของเศรษฐกิจไทยแทบทุกด้าน จะบ่งชี้ไปในทิศเดียวกันว่า พัฒนาการของเศรษฐกิจไทยด้อยลงเมื่อเทียบกับประเทศคู่เทียบ โดยในบางเรื่อง คะแนนดิบของตัวชี้วัดของไทยถดถอยลงเองโดยไม่ต้องเทียบกับใคร
“ตัวชี้วัดเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยติดหล่ม และชะงักงัน ไม่ว่าจะเป็น ความสามารถในการแข่งขันโดยรวมของประเทศ คุณภาพการศึกษา ผลิตภาพของภาคเกษตร ประสิทธิภาพของระบบราชการ ฐานะการคลัง หนี้ครัวเรือน ความเหลื่อมล้ำ การใช้อำนาจเหนือตลาดของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ กฎหมายที่ล้าสมัย ตลอดจนสถานการณ์คอรัปชั่น ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยมีสีเทามากขึ้นเรื่อยๆ” ดร.วิรไทกล่าว
พร้อมทั้งเตือนต่อว่า “ยิ่งถ้าเรา ติดหล่ม หรือชะงักงัน นานขึ้นเท่าไหร่ เราจะมีโอกาสดิ่งเหวเร็วขึ้น ลึกขึ้น และจะขึ้นจากเหวได้ยากขึ้นด้วย ทรัพยากรที่เรามีเหลือก็จะร่อยหรอลงเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับการลงทุนที่จำเป็นต้องใช้เพื่อก้าวขึ้นจากเหว”
ดร.วิรไท ชำแหละสาเหตุปัญหาฉุดไทย ‘ติดหล่ม’
ดร.วิรไท กล่าวอีกว่า มีหลายสาเหตุที่ทำให้พัฒนาการของเศรษฐกิจไทยในวันนี้ อยู่ในสภาวะติดหล่มหรือชะงักงัน ได้แก่
- สังคมโดยรวมขาดการตระหนักรู้ถึงความรุนแรงของปัญหาที่สะสมมาต่อเนื่อง และไม่ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนอกประเทศ
- การเมืองที่สนใจแต่ผลประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้อง มากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ
- การมุ่งทำแต่นโยบาย quick win ระยะสั้น ขาดความมุ่งมั่นทางการเมือง (political will) ที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างจริงจัง
- ธุรกิจขนาดใหญ่ ใช้อำนาจเหนือตลาด ในขณะที่การกำกับดูแลให้เกิดการแข่งขันอย่างเป็นธรรมไม่เกิดขึ้นจริง
- การไม่ให้ความสำคัญกับการกำหนดหลักคิดนำทาง (guiding principles) ที่จะช่วยกำหนดทิศทางของนโยบายสาธารณะ และการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติให้เกิดผลได้จริง โดยไม่ถูกบิดเบือน หรือเบี่ยงเบนระหว่างทาง
- การขาดกลไกที่ส่งเสริมให้เกิดการปฏิรูป (transformation) ได้อย่างแท้จริง ขาดกลไกที่ส่งเสริมให้หน่วยงานต่างๆ สามารถ ทำงานร่วมกันแบบประสานพลัง มีเป้าหมายร่วมกัน มากกว่าที่จะแยกกันคิด และแยกกันทำ
- การขาดระบบแรงจูงใจที่เหมาะสมกับโลกใหม่ในอนาคต ที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
- การให้ผลตอบแทนเพื่ออำนวยความสะดวก หรือสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน มาเป็นสิ่งที่เรียกว่าการยึดรัฐ (State Capture) ใช้กลไกภาครัฐกำหนดนโยบายที่เอื้อประโยชน์ให้แก่พรรคพวกของตนเอง
- หน่วยงานภาครัฐเลือกที่จะอยู่ใน comfort zone หลีกเลี่ยงความเสี่ยง ไม่เปิดใจ รับแนวคิดใหม่ๆ ที่จะทำให้เกิดการปฏิรูป โดยมักจะมีวิธีการทำงานที่เน้นกระบวนการ พิธีกรรมมากกว่าเอาสารัตถะและเป้าหมายของงานที่ยึดผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง
ดร.วิรไท ชี้ทางออกจากภาวะติดหล่ม
เพื่อออกจากภาวะติดหล่ม ดร.วิรไท ย้ำว่า ‘ไทยต้องออกแบบโมเดลใหม่ของการพัฒนา’ ซึ่งอย่างน้อยต้องประกอบด้วยนโยบายอุตสาหกรรมใหม่ นโยบายการค้าและการลงทุนใหม่ นโยบายด้านนวัตกรรมและการพัฒนาทักษะของคนไทยที่ จะต้องเกิดผลลัพธ์ได้จริง และที่สำคัญ เราต้องการบทบาทของภาครัฐใหม่ ที่จะไม่ฉุดรั้งให้เศรษฐกิจไทยชะงักงัน แต่ส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยก้าวไปข้างหน้าได้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
“ด้วยปัญหาที่สะสมมานาน และความท้าทายหลากหลายด้านที่กำลังรอเราอยู่ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องคิดเรื่องใหญ่ ให้ความสำคัญกับโมเดลใหม่ ที่จะเปลี่ยนโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย โมเดลการพัฒนาต้อง ได้รับการออกแบบใหม่ ไม่สามารถทำเพียงแค่ต่อยอดจากโมเดลเดิมๆ ที่เราคุ้นเคย” ดร.วิรไทกล่าว
พร้อมทิ้งท้ายว่า ถ้าเราร่วมกัน ‘คิดเรื่องใหญ่ มองให้ไกล ใส่เลนส์ใหม่ และทำให้จริง’ เราจะสามารถฉุดเศรษฐกิจไทยให้หลุดออกจาก สภาวะติดหล่ม และชะงักงัน และลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจไทยจะดิ่งเหวในอนาคตได้


