×

เด็กจบใหม่กำลังเผชิญกับการหางานที่ ‘ยากลำบากที่สุดในรอบทศวรรษ’ บริษัทเลิกจ้างงานไปแล้ว 1.1 ล้านตำแหน่ง

16.11.2025
  • LOADING...
เด็กจบใหม่กำลังเผชิญกับการหางานที่ ‘ยากลำบากที่สุดในรอบทศวรรษ’ บริษัทเลิกจ้างงานไปแล้ว 1.1 ล้านตำแหน่ง

ในอดีตที่ผ่านมารปริญญาตรีมักถูกมองว่าเป็น ‘ตั๋ว’ สู่การมีอาชีพที่มั่นคงและได้รับค่าตอบแทนสูง และในทุกๆ ปี บัณฑิตจบใหม่กว่า 3 ล้านคนต่างเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยคาดหวังถึงตำแหน่งงานต่างๆ แต่ในปีนี้ ผู้ที่เพิ่งได้รับปริญญามาหมาดๆ กลับต้องเผชิญหน้ากับหนึ่งในตลาดงานที่ ‘ยากลำบากที่สุดในรอบทศวรรษ’ และปีหน้าอาจจะย่ำแย่ไม่ต่างกันหรือเลวร้ายยิ่งกว่า

 

ในขณะที่กระแส AI Boom กำลังเข้ามาปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ของแรงงานในอัตราเร็วที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน บริษัทนายจ้างขนาดใหญ่หลายแห่งได้ออกมาประกาศว่ากำลัง ‘แทนที่พนักงานด้วย AI’ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและลดต้นทุน ประกอบกับความกังวลเรื่องเศรษฐกิจ, ภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ และการชะลอตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภค ล้วนเป็นปัจจัยที่ซ้ำเติมแนวโน้มการจ้างงานให้ลดลง

 

CNBC เปิดเผยว่า รายงานฉบับใหม่จาก National Association of Colleges and Employers (NACE) ระบุว่า นายจ้างมองตลาดงานสำหรับบัณฑิตจบใหม่ในแง่ลบน้อยลงกว่าช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเกือบครึ่งหนึ่ง (51%) ประเมินว่าตลาดงานสำหรับนักศึกษาปีสุดท้ายในปีนี้อยู่ในระดับ “แย่” หรือ “พอใช้” ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปี 2020-2021

 

AI ทลาย ‘บันไดขั้นแรก’ ของอาชีพ

 

โจเซฟ ฟูลเลอร์ ศาสตราจารย์ด้านการจัดการจาก Harvard Business School กล่าวว่า การเข้ามาของ AI ได้ “ทำให้ทักษะบางประเภทที่เคยมีค่าในตลาดแรงงานกลายเป็นสิ่งไร้ความหมาย และงานระดับเริ่มต้นจำนวนมากจะยังคงถูกบีบอัดต่อไปเป็นอย่างน้อย”

 

“นั่นสร้างแรงกดดันโดยตรงไปยังมหาวิทยาลัยและแผนกบริการจัดหางาน” เขากล่าว “เส้นทางที่จะก้าวเข้าสู่อาชีพบางอย่างกำลังจะแคบลง และภาระในการพิสูจน์คุณสมบัติจะสูงชันยิ่งขึ้น”

 

ข้อมูลดูเหมือนจะยืนยันแนวโน้มนี้ Revelio Labs บริษัทวิจัยด้านแรงงาน เปิดเผยว่า ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้น (Entry-Level) ในสหรัฐฯ ลดลงถึง 35% นับตั้งแต่เดือนมกราคม 2023 โดยมี AI เป็นปัจจัยหลัก ส่งผลให้ตำแหน่งงาน ‘พนักงานออฟฟิศ’ สำหรับผู้ถือปริญญาตรีที่เพิ่งเริ่มต้นอาชีพมีจำนวนน้อยลงอย่างฉับพลัน

 

ข้อมูลจากบริษัทจัดหางาน Challenger, Gray & Christmas ระบุว่า นายจ้างได้ประกาศ เลิกจ้างงานไปแล้ว 1.1 ล้านตำแหน่ง ในปีนี้ เพิ่มขึ้น 65% จากปีก่อนหน้า และเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปีแห่งการระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 โดยการเลิกจ้างในระดับสูงสุดมาจากภาคเทคโนโลยี ท่ามกลางการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อผนวกรวม AI

 

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนเริ่มตั้งคำถามว่า AI เป็น ‘แพะรับบาป’ สำหรับการเลิกจ้างที่เกิดขึ้นจากปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาคหรือไม่

 

มาร์ธา กิมเบล ผู้อำนวยการบริหารของ Budget Lab แห่งมหาวิทยาลัยเยล เตือนว่า การด่วนสรุปจากคำพูดของผู้บริหารในขณะประกาศเลิกจ้าง “อาจเป็นวิธีที่เลวร้ายที่สุด” ในการประเมินผลกระทบของ AI เธอกล่าวว่า “มีความโน้มเอียงอย่างมาก ที่จะมีการตอบสนองที่เกินจริงต่อการประกาศของแต่ละบริษัท เพราะทุกคนต่างตื่นตระหนกเกี่ยวกับผลกระทบของ AI ต่อตลาดแรงงาน”

 

ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง รวมถึง Amazon ได้จ้างงานอย่างบ้าคลั่งในช่วงที่เฟดลดอัตราดอกเบี้ยลงใกล้ศูนย์ในยุคโควิด-19 ซึ่งการจ้างงานที่มากเกินไปนี้ ทำให้บริษัทต้องเผชิญกับการปรับลดพนักงานในท้ายที่สุด ซึ่งเป็นพลวัตที่แยกต่างหากจากกระแส Generative AI

 

“จนถึงตอนนี้ ฉันยังไม่เห็นอะไรที่แตกต่างไปจากรูปแบบปกติของการที่บริษัทจ้างงานและเลิกจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจุดนี้ของวัฏจักรเศรษฐกิจ” กิมเบลกล่าว

 

มหาวิทยาลัยเผชิญวิกฤตศรัทธา เมื่อผู้ปกครองถามหา ‘ROI’

 

ไม่ว่าสาเหตุที่แท้จริงจะเป็น AI หรือวัฏจักรเศรษฐกิจ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือการที่ ‘บันไดขั้นแรก’ ของการจ้างงานกำลังหายไป ซึ่งสร้างแรงกดดันมหาศาลกลับไปยังสถาบันอุดมศึกษา ที่กำลังเผชิญกับ ‘วิกฤตศรัทธา’ อยู่แล้ว

 

ท่ามกลางค่าเล่าเรียนที่พุ่งสูงและหนี้สินนักศึกษาที่บานปลาย นักศึกษาจำนวนมากกำลังตั้งคำถามถึง ‘ผลตอบแทนจากการลงทุน’ (Return on Investment – ROI) ของปริญญา

 

ผลสำรวจล่าสุดจาก EdAssist by Bright Horizons พบว่า 77% ของผู้ที่มีหนี้นักศึกษา เรียกมันว่า “ภาระอันใหญ่หลวง” และ 63% กล่าวว่าการศึกษาที่พวกเขาได้รับ ไม่คุ้มค่ากับผลกระทบที่หนี้มีต่อชีวิตความเป็นอยู่โดยรวม

 

เจมส์ ดัฟฟี จาก Gettysburg College ยอมรับว่า ผู้ปกครองของทั้งนักศึกษาปัจจุบันและผู้ที่กำลังจะเข้าศึกษา ต่างกังวลเกี่ยวกับโอกาสในการได้งานทำหลังจบการศึกษามากขึ้นกว่าเดิม “ผู้ปกครองต้องการรู้ข้อมูลและรายละเอียดว่านักศึกษาจบไปแล้วไปทำงานที่ไหน พวกเขาอยากรู้ว่า ถ้าฉันจะจ่ายเงินขนาดนี้ ลูกฉันจะไปอยู่ที่ไหนในอีก 4 ปีข้างหน้า?”

 

เพื่อตอบสนองต่อแรงกดดันนี้ มหาวิทยาลัยต่างๆ จำเป็นต้องปรับเทียบกลยุทธ์ใหม่ ดัฟฟีกล่าวว่าการให้ประสบการณ์ที่พร้อมสำหรับการทำงานแก่นักศึกษา เช่น การฝึกงานและการทำงานจริง มีความสำคัญเพิ่มขึ้นอย่างยิ่ง

 

ในเดือนกรกฎาคม City University of New York (CUNY) ได้ริเริ่มความพยายามครั้งใหญ่ในการปรับปรุงผลลัพธ์ทางอาชีพสำหรับนักศึกษากว่า 180,000 คน โดยการบูรณาการการให้คำปรึกษาที่เชื่อมโยงกับอาชีพ, การฝึกงานแบบได้รับค่าจ้าง และการทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมในทุกหลักสูตร

 

“มันไม่เพียงพอแล้วที่นักศึกษาจะจบไปพร้อมกับปริญญา” เฟลิกซ์ มาตอส โรดริเกซ อธิการบดีของ CUNY กล่าว “พวกเขาต้องจากไปพร้อมกับทิศทาง, การเตรียมตัว, ประสบการณ์ และคอนเน็กชัน”

 

อย่างไรก็ตาม การปรับตัวไม่ใช่เรื่องง่าย โจเซฟ ฟูลเลอร์ จากฮาร์วาร์ด ได้ทิ้งท้ายไว้ว่า “สถาบันอุดมศึกษาเป็นองค์กรที่ป่วยโดยธรรมชาติในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว”

 

ถึงกระนั้น มหาวิทยาลัยต่างๆ ก็จำเป็นต้อง “สร้างโครงสร้างที่อนุญาตให้เราปรับเปลี่ยนทิศทางได้” มาตอส โรดริเกซ กล่าว ซึ่งหมายถึงการชี้นำนักศึกษาไปสู่เส้นทางอาชีพที่เป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ AI กำลังสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมต่างๆ

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising