รัฐบาลจีนเดินหน้าควบคุมการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเข้มงวด หลังพบการเผยแพร่ ‘ภาพและวิดีโอปลอม’ จำนวนมากในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเหตุการณ์อาชญากรรมหรือภัยพิบัติ ซึ่งไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อสังคม แต่ยังอาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของรัฐบาลจีน
กฎหมายฉบับใหม่ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมาธิการประจำสภาประชาชนแห่งชาติเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา จากเดิมมุ่งเน้นด้านความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม แต่ได้มีการเพิ่มเติมมาตรการบริหารความเสี่ยงและการเฝ้าระวังความปลอดภัยของ AI เข้ามาด้วย โดยกฎหมายความปลอดภัยทางอินเทอร์เน็ตฉบับปรับปรุงใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคม ปี 2569
การปรับกฎหมายครั้งนี้สะท้อนถึงความกังวลของรัฐบาลจีนต่อการใช้ เทคโนโลยี AI ในการสร้างข้อมูลเท็จเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงในสถานการณ์อ่อนไหว เช่น อุบัติเหตุหรือภัยพิบัติ ซึ่งอาจทำให้ความเสียหายดูรุนแรงเกินจริงและบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน อีกทั้งยังเกรงว่าข้อมูลปลอมอาจถูกนำมาใช้โจมตีหรือใส่ร้ายเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐ
ที่ผ่านมา จีนได้เริ่มควบคุม Generative AI ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2566 โดยกำหนดให้ผู้พัฒนาเทคโนโลยีต้องป้องกันไม่ให้ระบบสร้างเนื้อหาที่ก่อให้เกิดความไม่สงบหรือกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเผยแพร่ภาพและวิดีโอปลอมยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในกรณีที่เป็นกระแสคือ ภาพทารกแรกเกิดที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นหลังเหตุแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ในเขตทิเบต เมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ภาพดังกล่าวถูกแชร์อย่างกว้างขวางพร้อมยังอ้างว่าเป็นผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์จริง ก่อนจะถูกเปิดเผยในภายหลังว่าเป็นภาพที่สร้างขึ้นด้วย AI ส่งผลให้เจ้าของโพสต์ถูกจับกุมในข้อหาเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
อีกทั้งในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงได้เพิ่มความเข้มงวดในการปราบปรามเนื้อหาปลอม เพื่อเป็นกรณีตัวอย่างให้สังคมได้เห็น โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีหลายราย เช่น ชายวัย 28 ปีในมณฑลเจ้อเจียงที่โพสต์ภาพเด็กหญิงจากอินเทอร์เน็ตแล้วอ้างว่าเป็นลูกสาวที่ถูกลักพาตัว และหญิงวัย 57 ปีในมณฑลซานซีที่เผยแพร่ภาพปลอมของเหตุแผ่นดินไหว ทั้งที่ไม่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง
จากข้อมูลจากศูนย์สารสนเทศเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแห่งประเทศจีน (CNNIC) ระบุว่า จีนมีผู้ใช้งานเทคโนโลยี Generative AI มากถึง 515 ล้านคน ในเดือนมิถุนายน 2568 เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวภายในเวลาเพียงครึ่งปี สะท้อนถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีนี้
อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของ AI ยังนำมาซึ่งปัญหาด้านจริยธรรมและความปลอดภัยทางข้อมูล โดยมีวิดีโอสอนการสร้างภาพปลอมแพร่หลายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงซอฟต์แวร์ที่สามารถเปลี่ยนใบหน้าและเสียงของบุคคลได้ ผู้ใช้บางรายนำเนื้อหาเหล่านี้ไปโพสต์เพื่อเรียกยอดผู้ชม หรือสร้างรายได้จากการโฆษณาและขายสินค้า
เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ดังกล่าว หน่วยงานกำกับดูแลอินเทอร์เน็ตของจีนได้ออกแนวทางให้หน่วยงานท้องถิ่นและแพลตฟอร์มโซเชียลรายใหญ่เพิ่มการตรวจสอบบริการ AI โดยเฉพาะแอปที่สามารถสร้างภาพเปลือยหรือปลอมแปลงใบหน้าและเสียงได้ง่าย ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายนที่ผ่านมา ทางการได้สั่งให้แก้ไขแอปพลิเคชันกว่า 3,500 แอป และลบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกว่า 960,000 รายการ
นอกจากนี้ ในเดือนกันยายน รัฐบาลจีนยังออกข้อกำหนดใหม่ให้ผู้ให้บริการ AI ต้องติดฉลากระบุว่าเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นเป็นผลงานของ AI เพื่อให้ประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่าเป็นภาพจริงหรือจำลอง ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของจีนในการสร้างกรอบควบคุมการใช้ เทคโนโลยี AI ให้สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงและค่านิยมของประเทศ
ภาพ: Tero Vesalainen / Shutterstock
อ้างอิง:


