×

‘การบินไทย’ Q3/68 มีกำไรสุทธิ 4.4 พันล้าน ลงแรง 64.6% เหตุค่าใช้จ่ายเพิ่ม-ไร้ตัวช่วยจากรายการพิเศษ แต่ 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 2.64 หมื่นล้านบาท ยังโตแรง 73.5%

14.11.2025
  • LOADING...
‘การบินไทย’ Q3/68 มีกำไรสุทธิ 4.4 พันล้าน ลงแรง 64.6% เหตุค่าใช้จ่ายเพิ่ม-ไร้ตัวช่วยจากรายการพิเศษ แต่ 9 เดือนแรก มีกำไรสุทธิ 2.64 หมื่นล้านบาท ยังโตแรง 73.5%

บมจ.การบินไทย หรือ THAI แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รายงานผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 โดยมีกำไรสุทธิรวม 4,421 ล้านบาท ซึ่งลดลงถึง 64.6% หรือ 8,062 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เป็นกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 4,413 ล้านบาท 64.6% คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.16 บาท

 

แม้จะมีกำไรสุทธิลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) สูงถึง 8,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.0% หรือ 1,365 ล้านบาท สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น โดยมี EBITDA ที่ 12,408 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.4%

 

โดยในไตรมาส 3 ปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 44,398 ล้านบาท ลดลง 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อรายได้และค่าใช้จ่าย

 

สำหรับรายได้จากกิจการขนส่งลดลง 4.1% หรือ 1,707 ล้านบาท โดยรายได้ค่าโดยสารและค่าน้ำหนักส่วนเกิน ลดลง 3.8% เป็น 35,677 ล้านบาท โดยหลักมาจากเส้นทางบินระหว่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และออสเตรเลีย สาเหตุสำคัญคือ การแข่งขันด้านราคาที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท

 

อย่างไรก็ตาม ปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เพิ่มขึ้น 4.0% และปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เพิ่มขึ้น 3.1% จากการกลับมาให้บริการในเส้นทางยุโรป (บรัสเซลล์) และเพิ่มความถี่ในเส้นทางยอดนิยม (เซี่ยงไฮ้, เดนปาซาร์) ส่งผลให้อัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เพิ่มขึ้นจาก 76.1% เป็น 76.8%

 

ขณะที่รายได้จากค่าระวางขนส่งและไปรษณียภัณฑ์ ลดลง 5.9% แม้ปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์จะเพิ่มขึ้น 6.0% แต่รายได้เฉลี่ยต่อหน่วยลดลง 11.2% เนื่องจากภาวะการแข่งขันและการแข็งค่าของเงินบาท

 

ด้านค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ลดลง 7.2% เป็น 35,841 ล้านบาท

 

– ค่าน้ำมันเครื่องบินลดลง 15.1% หรือ 2,045 ล้านบาท เนื่องจากราคาตลาดน้ำมันเฉลี่ยปรับลดลง 8.4% และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 7.2% แม้ปริมาณการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้น

 

– ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าน้ำมันเครื่องบินลดลง 3.0% โดยหลักมาจากการลดลงอย่างมากของค่าซ่อมแซมและซ่อมบำรุงอากาศยาน (-36.6%)

 

– รายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นค่าใช้จ่าย 993 ล้านบาท ซึ่งมาจากผลขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ จำนวน 509 ล้านบาท ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศสุทธิ จำนวน 379 ล้านบาท และผลขาดทุนจากการวัดมูลค่าจากตราสารอนุพันธ์ จำนวน 82 ล้านบาท จำนวน ซึ่งแตกต่างจากปีก่อนที่มีรายการพิเศษเป็นรายได้สุทธิ 10,119 ล้านบาท เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กำไรสุทธิลดลง

 

9 เดือนแรกปี 2568 ผลงานแกร่งต่อเนื่อง รายได้รวมทะลุ 1.4 แสนล้านบาท

 

สำหรับผลการดำเนินงานรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) สูงถึง 140,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7% หรือ 5,086 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

ทั้งนี้การเติบโตนี้มีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากกิจการขนส่ง โดยมีรายได้จากค่าโดยสารและค่าน้ำหนักส่วนเกิน เพิ่มขึ้น 3.0% แม้ว่ารายได้จากผู้โดยสารเฉลี่ยต่อหน่วยจะต่ำกว่าปีก่อน 9.3% เนื่องจากการแข่งขันด้านราคาที่เข้มข้นขึ้นและผลกระทบจากการแข็งค่าของเงินบาท

 

แต่ถูกชดเชยด้วยปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) ที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 13.2% ส่วนรายได้จากค่าระวางขนส่งและไปรษณียภัณฑ์ ก็เพิ่มขึ้น 2.9% ตามปริมาณการขนส่งพัสดุภัณฑ์ (RFTK) ที่เพิ่มขึ้น 11.8% สอดคล้องกับปริมาณการส่งออกสินค้าที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้จากกิจการอื่น เพิ่มขึ้น 5.9% และรายได้อื่นๆ เพิ่มขึ้นถึง 26.9%

 

ในด้านการบริหารจัดการต้นทุน บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการควบคุมค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ให้ลดลง 3.5% เป็น 107,704 ล้านบาท โดยมีปัจจัยสำคัญคือ ค่าน้ำมันเครื่องบินที่ลดลงถึง 11.8% ซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันเฉลี่ยที่ปรับลดลง 11.3% และเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้น 7.3% ความสามารถในการจัดการต้นทุนที่ดีนี้ สะท้อนได้จากค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่รวมค่าน้ำมันเครื่องบินต่อหน่วยปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (CASK) ที่ลดลงจาก 1.493 บาท เป็น 1.364 บาท

 

ผลจากการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) อยู่ที่ 33,146 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น 37.0% และมี EBITDA แตะที่ 43,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%

 

นอกจากนี้ การบินไทยยังบันทึกรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียวสุทธิเป็นรายได้ 3,266 ล้านบาท ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 26,394 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 73.4% จากปีก่อน โดยเป็นกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ 26,369 ล้านบาท

 

แนวทางการดำเนินงานและการเติบโตในอนาคต

 

  • ขยายเครือข่ายเส้นทางบินและเพิ่มความถี่เที่ยวบิน โดยมุ่งเสริมความเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคเอเชีย
  • เพิ่มความถี่เส้นทางปักกิ่งและกวางโจวจาก 7 เป็น 14 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
  • กลับมาเปิดเส้นทางสู่เซียะเหมิน ฉงชิ่ง และฉางซา เมืองละ 7 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
  • เปิดเส้นทางใหม่สู่อูฮั่นและเซินเจิ้น รวมถึงเส้นทางใหม่ไปยังคยา ประเทศอินเดีย
  • เสริมศักยภาพฝูงบิน ด้วยการทยอยรับมอบเครื่องบินแอร์บัส A321neo จำนวน 17 ลำ ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2568 และคาดว่าจะครบภายในปี 2569
  • สั่งซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 787 Dreamliner ใหม่ 45 ลำ โดยจะเริ่มส่งมอบในปี 2571 และตั้งเป้าเพิ่มจำนวนฝูงบินเป็น 150 ลำภายในปี 2576
  • จัดตั้งบริษัท ไทย เอ็ม อาร์ โอ กรุ๊ป จำกัด และบริษัท ไทย เอ็ม อาร์ โอ เซอร์วิสเซส จำกัด เพื่อดำเนินกิจการด้านการซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) อย่างครบวงจร เพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ที่มีเสถียรภาพ

 

ปัจจัยที่อาจมีผลกระทบต่อผลการดําเนินงานในอนาคต

 

เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงปรับตัวเข้ากับโครงสร้างที่ถูกเปลี่ยนแปลงด้วยมาตรการและนโยบายใหม่ จากความไม่แน่นอนของสงครามการค้า กำแพงภาษีสหรัฐอเมริกาเร่งให้เศรษฐกิจโลกแบ่งขั้ว (Decoupling) และมีแนวโน้มกดดันการค้าการลงทุน ถึงแม้สหรัฐอเมริกาจะประกาศใช้อัตราศุลกากรตอบโต้รายประเทศ (Reciprocal tariff) แล้ว

 

แต่ยังมีแนวโน้มจะใช้ศุลกากรเฉพาะสินค้า (Sectoral tariff) และศุลกากรสินค้าสวมสิทธิ (Tariff on transhipped goods) ซึ่งยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจ อาทิ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรเป็นสังคมสูงอายุ ส่งผลให้กำลังแรงงานขยายตัวได้น้อยลง เป็นต้น

 

CAPA Centre for Aviation (CAPA) ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ วิจัย และคาดการณ์แนวโน้มอุตสาหกรรมการบิน เผยแพร่บทวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยพบว่าแม้ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะยังคงเป็นภูมิภาคที่แข็งแกร่ง แต่การเติบโตของการบินระหว่างประเทศกำลังเผชิญกับแรงกดดันและมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากข้อพิพาททางภูมิรัฐศาสตร์และปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค

 

โดยคาดการณ์ว่าธุรกิจขนส่งสินค้า (Cargo) จะได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีมากกว่าธุรกิจการขนส่งผู้โดยสาร และอัตราการทำกำไรของสายการบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะลดลง นอกจากนี้ สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) เปิดเผยว่า ภาวะการขาดแคลนเครื่องบินพาณิชย์ถือเป็นความท้าทายของอุตสาหกรรมการบิน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการดำเนินงานของสายการบินและการเติบโตของปริมาณการจราจรทางอากาศในระยะยาว

 

มองเศรษฐกิจไทยปี 68 ชะลอตัวจากผลกระทบภาษีของสหรัฐฯ

 

นอกจากนี้ เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มชะลอลงจากผลกระทบของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวได้ในระดับหนึ่งโดยได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการส่งออกหมวดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง

 

ทั้งนี้ ยังคงต้องติดตามผลกระทบที่ชัดเจนของมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา ความต่อเนื่องของการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และการปรับตัวของธุรกิจ SMEs ที่ยังเผชิญปัญหาด้านการแข่งขัน การเข้าถึงสินเชื่อ และต้นทุนทางการเงิน ส่วนภาคการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศประมาณ 33.4 ล้านคน ลดลงร้อยละ 5.9 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากการลดลงของนักท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียตะวันออกและอาเซียน อย่างไรก็ตาม ยังมีภูมิภาคที่เติบโต ได้แก่ เอเชียใต้ ยุโรป อเมริกา โอเชียเนีย และตะวันออกกลาง

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising