วันนี้ (14 พฤศจิกายน) ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แถลงข่าวกรณีท่าทีของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อกรณีที่ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกับระเบิดของกัมพูชา
ณัฐพงษ์กล่าวว่า ขอกล่าวแสดงความเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่อ จ.ส.อ. เทิดศักดิ์ สมาพงษ์ ที่สูญเสียข้อเท้าขวาจากเหตุการณ์เหยียบทุ่นระเบิดเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา และขอประณามต่อทุกการกระทำที่เป็นการลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลใหม่ ซึ่งเป็นการละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ และข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชาหลายประการ
อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนที่ผ่านมา (13 พฤศจิกายน) ได้มีการรายงานข่าวจากสำนักข่าวเบอร์นามา ซึ่งเป็นสำนักข่าวรัฐหลักของประเทศมาเลเซีย เป็นคำให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซียว่าเขายังคงเชื่อมั่นและหวังว่าการพูดคุยสันติภาพระหว่างไทยและกัมพูชานั้น ยังคงเดินหน้าต่อไป ภายหลังจากการแสดงท่าทีของอนุทินว่าไทยจะไม่สนใจข้อตกลงสันติภาพนี้อีกต่อไปแล้ว
“ผมมีความกังวลเป็นอย่างยิ่งว่าท่าทีของนายกรัฐมนตรีในขณะนี้ เป็นท่าทีที่ขาดความละเอียดรอบคอบ อาจจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในสถานการณ์ความขัดแย้งล่าสุด เพราะไทยกลายเป็นฝ่ายประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพนี้เสียเอง แทนที่เราจะใช้โอกาสนี้ในการตอกย้ำพฤติกรรมพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของกัมพูชา โดยขอระดมความร่วมมือจากทั่วโลกในการกดดันความชาอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บกู้ทุ่นระเบิดและการปราบปรามสแกมเมอร์” ณัฐพงษ์กล่าว
- ท่าทีนายกฯ ขาดวุฒิภาวะ-ทำไทยเสียเปรียบ
ณัฐพงษ์ชี้ว่า ที่กัมพูชาลักลอบวางทุ่นระเบิดสังหารใหม่เป็นพฤติกรรมที่ร้ายแรง คุกคามต่อสันติภาพระหว่าง 2 ประเทศ เป็นสิ่งที่พวกเราไม่อาจยอมรับได้ แต่แทนที่เราจะประกาศฉีกสัญญาสันติภาพนี้เอง นายกรัฐมนตรีควรที่จะแสดงออกถึงความโกรธที่เกิดขึ้นต่อคนไทยในฐานะผู้นำประเทศ ด้วยการต่อสายตรงถึงตัวแทนจากประเทศต่างๆ เช่น มาเลเซียให้ทราบถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
ณัฐพงษ์ชี้ว่า รายงานข่าวจากสำนักข่าวเบอร์นามา จะเห็นว่ามีความคลาดเคลื่อนที่รายงานไม่ตรงกัน เพราะสำนักข่าวเองก็ได้มีการเขียนข่าวออกมาว่าทุ่นระเบิดนี้เป็นระเบิดเก่า ซึ่งไม่ตรงสิ่งที่หน่วยงานของไทยได้รายงานออกไปก่อนหน้านี้ หรือแม้กระทั่งที่นายกรัฐมนตรีสามารถแสดงออกถึงความโกรธของตัวเองอย่างมีวุฒิภาวะ โดยการต่อสายตรงถึงผู้นำสหรัฐอเมริกาโดยตรง ในฐานะสักขีพยานของข้อตกลงสันติภาพนี้ เพื่อขอให้สหรัฐอเมริกาพิจารณาตัดความร่วมมือทางการทหารต่อกัมพูชา รวมถึงการใช้มาตรการกดดันอื่นๆ เช่น มาตรการทางภาษี เพื่อทำให้กัมพูชายุติพฤติกรรมที่ชั่วร้ายเหล่านี้ในทันที
จากท่าทีของนายกรัฐมนตรีในตอนนี้ ตนมีข้อกังวลเป็นอย่างยิ่งว่ากำลังจะทำให้ประเทศไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ประกอบไปด้วย 5 ประการได้แก่
1. ประเทศไทยกำลังเป็นฝ่ายที่ประกาศระงับข้อตกลงสันติภาพนี้ก่อน ซึ่งเป็นข้อตกลงที่กำลังทำให้กัมพูชาเสียเปรียบประเทศไทยทุกประตู ไม่ว่าจะเป็นการเก็บกู้ทุ่นระเบิด รวมถึงการปราบปรามสแกมเมอร์
2. แทนที่ประเทศไทยจะเป็นฝ่ายแจ้งสหรัฐอเมริกาและมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียนก่อน ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแต่นายอนุทินปล่อยปะละเลย ทอดเวลาให้ผ่านออกไป จนกลายเป็นรัฐบาลสหรัฐและทางมาเลเซียได้แสดงบทบาทออกมาว่าอย่าละเมิดข้อตกลงสันติภาพนี้
3. เราจะเห็นว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ กัมพูชาได้อาศัยการแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีไทย ในการกับไปเล่นบทบาทเหมือนเดิม คือการปฎิบัติการยั่วยุและการสร้างข่าว เพื่อสร้างความเกลียดชังในเวทีโลก โดยใช้วิธีการเดิมที่กัมพูชาทำตลอด คือเป็นเหยื่อและประเทศไทยกำลังรังแกประเทศด้อยกว่า
4. กัมพูชามีที่ยืนในเวทีโลกเพิ่มขึ้น จากการแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาจากการที่เขาเล่นบทเหยื่อ ทั้งที่ก่อนหน้านี้กัมพูชากำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบของประเทศไทยทุกประตู โลกกำลังล้อมกัมพูชาในเรื่องการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ที่กำลังหล่อเลี้ยงรัฐบาลสมเด็จ ฮุน เซน
5. การที่คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนรายงานว่าการตรวจสอบว่าวัตถุระเบิดที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่ทุ่นวางใหม่ ขัดแย้งกับข้อมูลของกองทัพไทย เป็นสิ่งที่กำลังทำให้ประเทศไทยตกที่นั่งลำบาก ที่เราจะต้องมีภาระรับผิดชอบในการชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
“ในขณะที่กัมพูชาเข้าตาจน ถูกโลกล้อมด้วยประเด็นสแกมเมอร์ การแสดงท่าทีของนายกรัฐมนตรีกำลังทำให้สังคมถูกเบี่ยงเบนความสนใจออกจากปัญหาดังกล่าว ซึ่งรัฐบาลถูกตั้งคำถามว่าทำไมถึงไม่จัดการกับเรื่องนี้อย่างจริงจัง” ณัฐพงษ์ระบุ
- โหนกระแสชาตินิยม กลบเกลื่อนปัญหาสแกมเมอร์
สำหรับกรณีที่บุคคลในคณะรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังประกาศลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งตัวนายกรัฐมนตรีเองก็ได้พูดบนเวทีสาธารณะว่าเป็นคนร้องขอให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังลาออกจากตำแหน่งเอง แต่นายกรัฐมนตรีปล่อยละเลยหรือไม่ ที่ไม่ได้ร้องขอบุคคลอื่น เช่น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกอภิปรายในสภาว่า อาจจะมีความเกี่ยวโยงกับกลุ่มทุนเทาต่างๆ
”เมื่อเกิดกรณีทหารไทยเกี่ยวกับระเบิดขึ้นแทนที่คุณอนุทินจะเร่งดำเนินการในปฏิบัติการให้โลกล้อมกัมพูชา ทั้งการละเมิดสัญญาสันติภาพและการผนึกกำลังนานาชาติในการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยได้เปรียบกัมพูชาในทุกประตู แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีดำเนินการ กลับเลือกโหนกระแสชาตินิยม เพื่อปกป้องคะแนนนิยมของตัวเอง และกลบเกลื่อนการจัดการปัญหาสแกมเมอร์ รวมถึงกระบวนการการฟอกเงินที่กระทบรัฐบาลของคุณอนุทินในขณะนี้ ถ้าหากรัฐบาลยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง ผมยืนยันว่ายังมีอีกหลายมาตรการที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้“ ณัฐพงษ์กล่าว
ณัฐพงษ์ยังเสนอมาตรการ 3 ข้อ ประกอบไปด้วย
1. การพูดคุยโดยตรงกับผู้นำสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนให้ตัดการสนับสนุนทางการทหารและเศรษฐกิจต่อกัมพูชา เพื่อจบปัญหาสแกมเมอร์ อันเป็นภัยต่อประชาชนทั้งโลก รวมถึงจีนและสหรัฐฯ
2. ควรตั้งผู้แทนพิเศษ หรือ Special envoy เป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับนานาชาติ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและประสานงานด้านการปราบปรามสแกมเมอร์ เช่นการพิจารณาเข้าร่วมเป็นสมาชิก International Anticorruption Coronation Center เพื่อเปิดทางให้ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศเข้ามาร่วมสืบสวนในกรณีดังกล่าวในประเทศไทยได้
3. สิ่งที่สามารถจัดการได้ทันทีคือการอายัดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ในประเทศประเทศไทย เพื่อสาวถึงต้นตอของผู้กระทำ ไม่ใช่จับเพียงปลาตัวเล็ก เพื่อรักษาภาพของรัฐบาลต่อไปอย่างเดียวเท่านั้น
ณัฐพงษ์ย้ำว่า ประเทศไทยในวันนี้ตกอยู่ในความเสี่ยงหลายประการในการแก้ไขปัญหากัมพูชา ที่รัฐบาลไม่ได้สนใจผลประโยชน์ของชาติเป็นตัวตั้ง แต่ยึดคะแนนนิยมการเมืองเป็นที่ตั้ง เราตกเป็นจำเลยว่าไทยเป็นแหล่งฟอกเงินให้สแกมเมอร์ เราตกเป็นจำเลยของสงครามข่าว เหนือสิ่งอื่นใดเราเสี่ยงถูกทุนเทาเข้ายึดประเทศผ่านการฟอกเงินมาทำธุรกิจในประเทศไทย ผ่านการติดสินบนข้าราชการ ไม่เว้นแม้แต่ผู้บังคับบัญชาระดับสูง นายตำรวจ ผ่านการสนับสนุนเงินให้นักการเมืองที่มีอำนาจในการสนับสนุนนโยบายระดับประเทศ
“ประเทศไทยในปัจจุบันเราต้องการตัวนายกรัฐมนตรีที่แสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะ ตอบโต้อย่างมีสติและได้สัดส่วน และยึดถือผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งมากกว่าการรักษาคะแนนนิยมของตัวเอง ขอเรียกร้องในการดึงสตินายกรัฐมนตรีให้กลับมาและเร่งดำเนินการตามมาตรการที่ผมแถลง” ณัฐพงษ์กล่าว
เมื่อถามว่า พล.อ. ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ ว่า เวที JBC อาจไม่เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นถ้าไม่มีระบบทวิภาคีในการเจรจาจะไปต่ออย่างไร ณัฐพงษ์มองว่า วิธีที่จะกดดันให้กลับเข้าสู่การเจรจาแบบทวิภาคีอย่างมีประสิทธิภาพคือเราต้องมีมาตรการกดดันกัมพูชาหลายด้าน ทั้งการปราบปรามสแกมเมอร์ หรือไทยยึดมั่นในหลักการ ข้อตกลงสันติภาพไม่ให้เราไปเข้าทางกัมพูชาที่เขาพยายามปั่นข่าว และนายกรัฐมนตรีจะต้องระบายความโกรธของตัวเองแสดงออกอย่างมีวุฒิภาวะต่อนานาชาติ โดยเฉพาะประเทศที่มีอิทธิพลต่อกัมพูชาอย่างจีนและสหรัฐ ให้ประเทศเหล่านั้นกดดันกัมพูชาหยุดละเมิดข้อตกลงสันติภาพ หยุดละเมิดข้อตกลงระหว่างประเทศ และหยุดการใช้ทุ่นระเบิด กดดันให้กัมพูชากลับเข้ามาสู่กลไกการเจรจาแบบทวิภาคีเพื่อหาทางออกร่วมกัน
- ควรยึดกติกาสากล ไม่ใช่ประกาศฉีกข้อตกลง
สำหรับกรณีที่ขณะนี้รัฐบาลให้กระทรวงการต่างประเทศสื่อสารกับทูตและมีการแถลงข่าวทุกวัน เพียงพอหรือไม่ต่อการสื่อสารไปยังประเทศอื่นๆ ณัฐพงษ์กล่าวว่า หลักการสื่อสารจะต้องชัดเจนและถูกต้องแม่นยำในข้อมูล การที่นายกฯมอบหมายให้กระทรวงต่างประเทศ ออกมาสื่อสารแทนตนเองเป็นประจำทุกวันไม่ได้ผิดหลักการอะไร
“แต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือ การที่นายกรัฐมนตรีออกมาประกาศด้วยตัวเองในฐานะผู้นำประเทศเพราะว่าพร้อมที่จะฉีกข้อตกลงสันติภาพนี้เป็นการแสดงออกที่ขาดวุฒิภาวะขาดการแสดงออกที่เหมาะสม และได้สัดส่วน ทำให้ประเทศไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีของไทยไม่พร้อมเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ขณะที่นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียพร้อมที่จะเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อให้เกิดสันติภาพ นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรีจะดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชาและไทยไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เราต้องกลับมายึดตามหลักกติกาสากล หรือข้อตกลงสันติภาพที่เราไปทำเอาไว้โดยมีสหรัฐอเมริกา และประเทศมหาอำนาจต่างๆ เป็นสักขีพยาน แทนที่จะมาประกาศฉีกข้อตกลง โดยการโหนกระแสชาตินิยมปกป้องกระแสนิยมของตัวเอง สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ส่วนประเทศไทยควรมีท่าทีอย่างไรหลังกัมพูชายื่นคำร้องต่อเวทีโลกว่าไทยเปิดฉากยิงก่อน ณัฐพงษ์กล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด ในเรื่องการชี้แจงข้อเท็จจริงของไทยต่อเวทีโลกที่ต้องชี้แจงอย่างเร็วชัดและถูกต้อง ต่อข้อมูลที่เกิดขึ้นในพื้นที่ แต่จากข่าวที่เกิดขึ้นกัมพูชาพยายามปั่นข่าวว่าไทยยิงกระสุนไปตกที่ฝั่งเขา ซึ่งเชื่อว่าไม่เป็นข้อเท็จจริง เขาจะอาศัยจังหวะนี้ที่นายกรัฐมนตรีประกาศ ว่าจะไม่ทำตามข้อตกลง และพยายามเพิ่มพื้นที่กำลังทางการทหาร ตามแนวชายแดน กัมพูชาจะสามารถใช้โอกาสนี้ปั่นข่าวแบบนี้ให้เกิดขึ้นได้ เป็นผลกระทบที่ตามมาซึ่งเราสามารถป้องกันการปั่นข่าวแบบนี้ได้ ถ้านายกรัฐมนตรีแสดงท่าทีที่ไม่ได้ขัดแย้งต่อหลักการและแสดงออกอย่างเหมาะสม


