Financial Times รายงานว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรมเริ่มการสอบสวนบริษัทแปรรูปเนื้อสัตว์ครั้งใหญ่ โดยกล่าวหาว่าบริษัทเหล่านี้กำลังสมรู้ร่วมคิดกันเพื่อปั่นราคาเนื้อวัวให้สูงขึ้น การเคลื่อนไหวครั้งนี้เกิดขึ้นในขณะที่รัฐบาลกำลังเผชิญกับแรงกดดันอย่างหนักเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังคงอยู่ในระดับสูง
“ผมได้ขอให้กระทรวงยุติธรรมเริ่มการสอบสวนบริษัทแปรรูปเนื้อสัตว์โดยทันที ผู้ซึ่งกำลังผลักดันราคาเนื้อวัวให้สูงขึ้นผ่านการสมรู้ร่วมคิดที่ผิดกฎหมาย, การตรึงราคา และการปั่นราคา” ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวในโพสต์บน Truth Social เมื่อบ่ายวันศุกร์ (7 พ.ย.) ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ “เราจะปกป้องชาวปศุสัตว์อเมริกันของเราเสมอ พวกเขากำลังถูกกล่าวโทษในสิ่งที่บริษัทแปรรูปเนื้อสัตว์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติกำลังทำ”
การประกาศดังกล่าวมีขึ้นหลังจากผลการเลือกตั้งนอกรอบในสัปดาห์นี้ ซึ่งประเด็นเรื่อง ‘ค่าครองชีพ’ ได้ช่วยให้ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตคว้าชัยชนะในหลายพื้นที่ แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงนับตั้งแต่ทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่น่ากังวล โดยล่าสุดในเดือนกันยายน ตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่ที่ 3% ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 2% ของธนาคารกลางสหรัฐฯ
แพม บอนดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ยืนยันผ่านโพสต์บน X ว่ากระทรวงยุติธรรมได้เริ่มกระบวนการสอบสวนแล้ว โดยทำเนียบขาวระบุว่าบริษัท 4 แห่ง ได้แก่ JBS, Cargill, Tyson Foods และ National Beef ครองส่วนแบ่งตลาดแปรรูปเนื้อวัวในสหรัฐฯ ถึง 85%
The Wall Street Journal รายงานว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อุตสาหกรรมนี้ถูกตรวจสอบ โดยในสมัยแรกของทรัมป์ กระทรวงยุติธรรมก็เคยออกหมายเรียกบริษัททั้งสี่ในข้อหาละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาดมาแล้วเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม The Wall Street Journal ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความจริงอีกด้านที่ซับซ้อนกว่านั้น โดยระบุว่าอุตสาหกรรมแปรรูปเนื้อสัตว์เองก็กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่ง บริษัทเหล่านี้ขาดทุนสะสมหลายร้อยล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา เนื่องจากต้นทุนปศุสัตว์ที่สูงขึ้นและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานโรงงานที่เพิ่มขึ้น
สาเหตุหลักที่ทำให้ราคาเนื้อวัวพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์นั้นมาจากภาวะ ‘ขาดแคลน’ วัวในสหรัฐฯ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนน้อยที่สุดนับตั้งแต่ปี 1951 เป็นต้นมา AP รายงานว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงปศุสัตว์ได้ลดขนาดฝูงลงอย่างต่อเนื่องมานานหลายปี หลังจากที่ต้องขาดทุนอย่างหนักในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิดและต้องเผชิญกับภาวะภัยแล้งรุนแรง
ในขณะที่อุปทานลดลง แต่ความต้องการบริโภคเนื้อวัวยังคงแข็งแกร่ง เดอร์เรลล์ พีลนักเศรษฐศาสตร์การเกษตรจาก Oklahoma State University กล่าวว่าไม่มีหลักฐานใดที่สนับสนุนข้อกล่าวหาว่าบริษัทแปรรูปเนื้อสัตว์ใช้ ‘อำนาจเหนือตลาด’ ในการปั่นราคา และยังแสดงความกังขาว่าการสอบสวนครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
“อุตสาหกรรมนี้ตกเป็นเป้าในการตรวจสอบและศึกษาวิจัยมานานกว่า 50 ปีแล้ว” พีลกล่าว “หากผลลัพธ์คือการสั่งแยกบริษัทแปรรูปขนาดใหญ่ ผลที่จะตามมาก็คือราคาเนื้อวัวที่สูงขึ้นสำหรับผู้บริโภค และราคาวัวที่ต่ำลงสำหรับเกษตรกร”
กลุ่มสถาบันเนื้อสัตว์ (The Meat Institute) ซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัทแปรรูปเนื้อสัตว์ ได้ออกมาตอบโต้ข้อกล่าวหาดังกล่าว โดย จูลี แอนนา พอตส์ ซีอีโอของกลุ่ม กล่าวว่า “เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่ผู้แปรรูปเนื้อวัวต้องดำเนินงานท่ามกลางภาวะขาดทุน อันเนื่องมาจากอุปทานปศุสัตว์ที่ตึงตัวและความต้องการที่แข็งแกร่ง” เธอยืนยันว่าตลาดมีการควบคุมอย่างเข้มงวดและธุรกรรมต่างๆ ก็โปร่งใส
การที่ทรัมป์พุ่งเป้าโจมตีไปที่ ‘บริษัทแปรรูปเนื้อสัตว์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของต่างชาติ’ ถือเป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองที่ชัดเจน JBS และ MBRF Global Foods (บริษัทแม่ของ National Beef) ต่างก็มีสำนักงานใหญ่ในบราซิล ซึ่งในอดีต JBS ก็เคยตกลงจ่ายค่าปรับ 52.5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.7 พันล้านบาท) ในคดีที่ถูกกล่าวหาว่าฮั้วราคากับบริษัทอื่นๆ มาแล้วในปี 2022 โดยในครั้งนั้น ยอมจ่ายค่าปรับเพื่อยุติคดี แต่ไม่ได้ยอมรับผิดตามข้อกล่าวหา
การประกาศสอบสวนครั้งนี้ยังถือเป็นการพยายาม ‘เอาใจ’ กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงปศุสัตว์ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่พอใจอย่างมากต่อแนวคิดของทรัมป์ที่จะอนุญาตให้นำเข้าเนื้อวัวจากอาร์เจนตินาเพื่อกดราคาในประเทศ นักวิเคราะห์มองว่าการนำเข้าดังกล่าวแทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีก แต่ความคิดเห็นของทรัมป์กลับส่งผลให้ราคาปศุสัตว์ที่เกษตรกรขายได้ลดลงไปแล้วกว่า 10% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา
หมายเหตุ : ใช้อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับ 32.39 บาท ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2568
ภาพ : ARTYOORAN / Shutterstock
อ้างอิง:


