วันนี้ (6 พฤศจิกายน) อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
อนุทินกล่าวว่า การร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ถือเป็นก้าวสำคัญที่ประเทศไทยได้มีการรวมกันเพื่อการประกาศสงครามกับอาชญากรรมออนไลน์ สงครามนี้เป็นสงครามที่เราจะต้องชนะเท่านั้น เพื่อปกป้องประชาชนทุกคนจากภัยสแกมเมอร์ที่กำลังบ่อนทำลายประเทศ เมื่อหนึ่งคนเป็นเหยื่อ ทุกครอบครัวจะได้รับผลกระทบทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ คนจำนวนมากต้องประสบกับความทุกข์และความเครียดอย่างแสนสาหัส ศักยภาพ ชื่อเสียง ความเชื่อมั่นของประเทศถูกบ่อนทำลายจากการกระทำของมิจฉาชีพ ชื่อเสียงที่ต้องเสื่อมเสีย ภาพลักษณ์ที่ถูกบั่นทอน
“นี่คือความมั่นคงอันดับต้นต้นของประเทศ ซึ่งรัฐบาลของตนได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขป้องกันและปราบปรามให้สูญสิ้นไปให้จนได้ ต้องขอขอบคุณผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตลอดจนผู้มีเกียรติที่มาร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจ” อนุทินกล่าว
อนุทินย้ำว่า ในวันนี้สิ่งที่เราร่วมลงนามกันไปนั้น ไม่ใช่เพียงเอกสาร แต่เป็นอาวุธที่จะใช้ในการต่อสู้กับอาชญากรอย่างเป็นระบบ เพราะถือเป็นวาระแห่งชาติ ไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมกันของประเทศ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนในทุกด้าน ทั้งงบประมาณ เทคโนโลยี และนโยบายทรัพยากรทุกอย่างเพื่อให้การปฎิบัติภารกิจต่างๆ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะ ออนไลน์สแกมเมอร์ให้เห็นผลจริง ทั้งในระยะสั้น และยั่งยืนในระยะยาว เพื่อให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยจากภัยสแกมเมอร์ ให้กับประชาชนและต้องทำให้เป็นดินแดนต้องห้ามของการหลอกลวงทุกรูปแบบ ประเทศไทยต้องปลอดภัยจากสแกมเมอร์
สำหรับ MOU ที่ว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฉบับนี้ มีจุดประสงค์เดินหน้าปฏิบัติการเชิงลึกใน 5 ด้านหลัก ได้แก่
1. การบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาด ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำความผิด หรือผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลัง
2. การสร้างระบบประสานงานแบบบูรณาการ เชื่อมโยงข่าวกรองและการสืบสวน
3. การยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทันที ตัดเส้นทางการเงินอาชญากร ไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานฟอกเงินได้อีกต่อไป
4. ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและ AI ในการตรวจจับเส้นทางเงินของมิจฉาชีพเพื่อสกัดก่อนที่จะเกิดเหตุ
และ 5. การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนให้มีความรู้เท่าทัน และมีการแจ้งเพื่อให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศได้ระมัดระวัง และพร้อมกันนี้ ให้ช่วยกันถือเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับสงครามป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
อนุทินกล่าวอีกว่า ภาพที่ปรากฏในวันนี้ น่าจะมีความชัดเจนว่า รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือเราเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นเจ้าของสแกมเมอร์ เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมคิดว่าภาพในวันนี้คงทำให้ปรากฏชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ไม่มีใครที่จะมีความอดทนต่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ทำร้ายประเทศไทย ทุกคนที่ร่วมกันลงนามอยู่บนเวทีเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดในการเป็นผู้บริหารองค์กรแต่ละคนรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่จะทำให้หวั่นไหวในอนาคต
“มั่นใจว่าทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา แต่รู้จักผูกพัน ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันคือเป็นทั้งเพื่อนและพี่น้อง เราสามารถที่จะแสวงหาความร่วมมือ และสร้างพลัง ใช้โอกาสนี้ ใช้ความเป็นพี่น้อง หัวหน้ารัฐบาลเป็นเพื่อนกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นพี่ของอธิบดี DSI เป็นพี่ของผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นเพื่อนร่วมงานของปลัดกระทรวงหลายคน และเป็นคนแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย ดังนั้น ผมไม่มีวันที่จะต้องเกรงใจ ใครที่ตั้งใจจะมาทำร้ายประชาชน ขอให้ประชาชนเกิดความมั่นใจผมรู้จักเพื่อนพี่น้องเหล่านี้ดี และจะไม่มีวันหมดหน้าที่หรือเกษียณอายุราชการไปแล้วบอกกับตัวเองไม่ได้ว่า ในขณะที่มีอำนาจมีหน้าที่มีภารกิจไม่ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ปล่อยให้ประชาชนมีความเดือดร้อน ถึงกับตายตาไม่หลับ เราต้องการทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ ด้วยเกียรติยศ และได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างสุดความสามารถ” อนุทินกล่าว
สำหรับ 15 หน่วยงานภาครัฐร่วมลงนามใน MOU ได้แก่
1. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
2. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.)
3. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
4. กระทรวงยุติธรรม
5. กระทรวงมหาดไทย
6. กระทรวงการคลัง
7. กระทรวงการต่างประเทศ
8. กระทรวงพาณิชย์
9. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)
10. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI)
11. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง (กกช.)
12. กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)
13. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
14. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
15. สมาคมธนาคารไทยและสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ


