วันนี้ (30 ตุลาคม) เวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล ศ.กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมาย แถลงถึงความคืบหน้าการจัดทำกฎหมายสำคัญ โดยระบุว่า ตนได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระสังฆราช เพื่อขอพระอนุมัติการดำเนินนโยบายของรัฐบาลตามที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ว่าจะพิทักษ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา
ทั้งนี้ ได้มีการหารือกับผู้ใหญ่ที่ดูแลด้านพระพุทธศาสนา ได้แก่ ธงทอง จันทรางศุ และคณะ เพื่อร่วมกันร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคุ้มครองพระพุทธศาสนา พ.ศ…. โดยร่างดังกล่าวได้เสนอผ่านมหาเถรสมาคมแล้ว และผ่านการเห็นชอบจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการ และส่งให้คณะกรรมการพิจารณาในฐานะเรื่องด่วน เพื่อเตรียมเสนอให้รัฐบาลลงนามประกาศใช้
ศ.กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์กล่าวว่า ร่างระเบียบฉบับนี้ถือเป็นก้าวแรก ของรัฐบาลในการดำเนินตามนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ว่าจะดูแลปัญหาที่เกิดขึ้นในพระพุทธศาสนา โดยยึดหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งเปรียบเสมือนดวงจันทร์วันเพ็ญที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพียงแต่บางครั้งมีเมฆหมอกจากการประพฤติผิดธรรมวินัยของพระส่วนน้อย ดังนั้น รัฐบาลจะช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งของพุทธจักร โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเป็นองค์ประมุข โดยยืนยันว่าจะไม่ดำเนินการใดๆ ตามอำเภอใจ
นอกจากนี้ จะมีการแต่งตั้งอนุกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาจังหวัด ใน 76 จังหวัดทั่วประเทศ (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร) เพื่อดำเนินงานในระดับพื้นที่ มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและประสานงานกับหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามจารีตและประเพณีของไทย รวมถึงทำหน้าที่รับเรื่องร้องเรียนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา นัดให้มีการประชุมทุก 3 เดือน
ในร่างระเบียบดังกล่าวจะให้มีคณะกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือ คพช. จะมีประธานที่นายกรัฐมนตรีแต่งตั้งด้วยพระสังฆราชานุมัติและความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมและจะมีกรรมการโดยตำแหน่งคือ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เลขากฤษฎีกา เลขา ปปง. เลขา ปปท.และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และจะมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านพระพุทธศาสนาและด้านอื่นๆไม่เกิน 9 คน และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาเป็นกรรมการและเลขานุการ
กรรมการชุดนี้จะมีการเสนอมาตรการและกลไกการคุ้มครองพระพุทธศาสนาให้เป็นไปตามกฎหมาย พระธรรมวินัย มติ ครม. กฎข้อบังคับ และประกาศของมหาเถรสมาคม และจะมีการตั้งคณะอนุกรรมการคุ้มครองพระพุทธศาสนา 76 จังหวัดยกเว้นกรุงเทพมหานครเพื่อไปดำเนินการในชั้นจังหวัดให้คำแนะนำกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลคณะสงฆ์ เพื่อให้เป็นไปตามจารีตประเพณีของไทย และคณะกรรมการชุดดังกล่าวยังมีอำนาจรับเรื่องร้องเรียนพระที่ฝ่าฝืนพระธรรมวินัยอีกด้วย
ศ.กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์กล่าวต่อว่า ตนเองเสนอให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง จัดทำระบบบัญชีรับ-จ่ายของวัด เพื่อให้วัดทั่วประเทศมีมาตรฐานเดียวกันในการบริหารจัดการด้านการเงิน และกำหนดคุณสมบัติและระยะเวลาของไวยาวัจกร วัดที่มีรายรับในระดับ 1–10 ล้านบาทต่อปี ควรจัดทำบัญชีตามรูปแบบกลางที่กรมบัญชีกลางกำหนด ส่วนวัดที่มีรายรับตั้งแต่ 70 ล้านบาทขึ้นไป ต้องจัดทำบัญชีอย่างเป็นระบบและมีผู้ตรวจสอบรับรอง เพื่อสร้างความโปร่งใสและตรวจสอบได้
ศ.กิตติคุณ ดร. บวรศักดิ์กล่าวว่า แนวคิดดังกล่าวยังมุ่งแยกให้ชัดเจนระหว่างเงินของวัดกับเงินส่วนตัวของพระภิกษุ เพื่อให้การใช้จ่ายและการบริจาคเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาล โดยเสนอให้ยกเลิกการใช้ใบอนุโมทนาบัตรแบบกระดาษในระยะต่อไป และปรับสู่ระบบบริจาคออนไลน์ที่สามารถตรวจสอบและใช้ลดหย่อนภาษีได้
ศ.กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ ยังกล่าวถึงการทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ว่า ในส่วนของการปราบปราม ป.ป.ส. ทำได้ผลดีมาก แต่การให้ความสำคัญกับด้านป้องกันยังน้อยไป ที่ผ่านมาไปให้ความสำคัญกับคนผลิต คนขาย จึงขอ ป.ป.ส.ให้มีการตั้งอนุกรรมการขึ้นมาอีกชุดทำด้านการป้องกัน เพื่อหาสาเหตุของการเสพยา โดยต้องทำงานกับนักวิชาการ นักจิตวิทยา นักจิตเวช เพราะอยู่ดีๆ คนจะอยากเสพยาไม่ได้ ต้องมีเหตุให้เสพยา อย่างเช่น เรื่องอาชีพ
ศ.กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อน เร่งรัด และติดตามนโยบายสำคัญของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี เพื่อเร่งรัดการดำเนินงานตามนโยบาย โดยเฉพาะการยกเลิกหรือแก้ไขกฎระเบียบที่เป็นภาระต่อประชาชน
ศ.กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์กล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการต่อยอดจากโครงการกิโยตินกฎหมาย ซึ่งเคยดำเนินการในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีเป้าหมายลดกฎระเบียบที่ซ้ำซ้อน ใช้เวลานาน และก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงแก่ประชาชน โดยยอมรับว่าที่ผ่านมาแม้จะมีความคืบหน้า แต่ยังเหลืออีกจำนวนมากที่ต้องเร่งแก้ไข
“กระทรวงที่เกี่ยวข้องหลักคือ กระทรวงมหาดไทย พาณิชย์ สาธารณสุข และเกษตรฯ ซึ่งมีกฎระเบียบจำนวนมาก จำเป็นต้องขอความร่วมมือจากรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง และอธิบดี ให้ ‘ขันชะเนาะ’ ลูกน้องให้รีบทำ รีบเลิก รีบแก้ หากทำไม่ได้จริงๆ ก็ขอให้เสนอทางออกว่าจะทำอย่างไรให้เร็วขึ้น แม้ระบบราชการไทยมีความระมัดระวัง แต่บางครั้งกลับสร้างภาระให้ประชาชนโดยไม่จำเป็น”
สำหรับแผนการขับเคลื่อน ดร.บวรศักดิ์ ระบุว่า ในเดือนแรกจะเริ่มประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดือนที่สองหากยังไม่มีความคืบหน้าจะเดินทางไปพบรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงด้วยตนเอง เพื่อเชิญผู้บริหารระดับสูงมาหารือร่วมกัน และในเดือนที่สาม
หากยังไม่สำเร็จจะพิจารณามาตรการขั้นต่อไป ซึ่งคาดว่าในรัฐบาล อนุทิน ภายใน 4 เดือน บวก 2-3 เดือนของช่วงรักษาการ จะสามารถเห็นผลเป็นรูปธรรม
ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยยกระดับตัวชี้วัดของประเทศใน 3 ด้าน ได้แก่
- ความสามารถในการแข่งขันของ IMD
- หลักนิติธรรม (Rule of Law)
- ธรรมาภิบาลของสถาบันธนาคารโลก (World Bank Governance Indicators)
ศ.กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ย้ำว่า การยกเลิกหรือปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของนายอนุทินหรือของตนเอง แต่เป็นเรื่องของประเทศที่จะยกระดับหลักนิติธรรมของไทย และเป็นการปูทางสู่การเข้าเป็นสมาชิกขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งในเอเชียยังมีประเทศสมาชิกเพียงไม่กี่แห่ง
ดร.บวรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนมักสอนลูกศิษย์เสมอว่า เวลาเขียนกฎหมาย อย่าคิดว่าตนเป็นผู้มีอำนาจ แต่ให้คิดว่าเป็นประชาชนคนหนึ่ง ตั้งแต่เกิดจนถึงวันเกษียณราชการ แล้วต้องกลับมาติดต่อกรมของตัวเอง จะเข้าใจว่ากฎระเบียบที่ซับซ้อนนั้นลำบากเพียงใด”


